Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน1 สิงหาคม 2550
บิวเดอ สมาร์ทฯ เตรียมยื่นไฟลิ่งต.ค.นี้TNDTคาดเทรดในตลาดmaiไตรมาส3             
 


   
search resources

Construction
บิวเดอ สมาร์ท ดิสทรีบิวชั่น เซนเตอร์, บจก.




บิวเดอ สมาร์ท ดิสทรีบิวชั่น เซนเตอร์ เตรียมยื่นไฟลิ่งตุลาคมนี้ เพื่อระดมทุนไปใช้พัฒนาระบบเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพและขยายงาน ขณะที่ TNDT คาดเข้าซื้อขายได้ไตรมาส 3 ปีนี้ ส่วนอีก 3 บริษัทปัดฝุ่นเตรียมระดมทุนในอนาคต

นายสัญชัย เนื่องสิทธิ์ กรรมการและผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บิวเดอ สมาร์ท ดิสทรีบิวชั่น เซนเตอร์ จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอ ไอ(mai)คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้ปลายเดือนตุลาคมนี้และจะสามารถเข้าซื้อขายได้ช่วงปลายปีนี้ซึ่งได้แต่งตั้งให้บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัดหรือ APM เป็นที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับวัตถุประสงค์ในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดmai

เพื่อทำให้ธุรกิจของบริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างมีศักยภาพและเป็นโอกาสที่ดีในการทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในธุรกิจส่วนหนึ่งต้องการนำไปพัฒนาระบบเทคโนโลยีของบริษัทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งเชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพราะสถานการณ์ต่างๆ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 50 เติบโตอยู่ที่ 350ล้านบาทจากปี 49 ที่มีรายได้อยู่ที่ 276 ล้านบาทแบ่งเป็นรายได้ที่มาจากตลาดคอนโดมิเนียมสัดส่วน 40%,ตลาดสำนักงาน-อาคารพาณิช 50% และอื่นๆ 10%ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,000รายส่วนใหญ่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและจังหวัดภูเก็ต

โดยบริษัทมีแผนขยายตลาดไปยัง อินเดียซึ่งมีตัวแทนจำหน่ายอยู่ 2 แห่ง นอกจากนี้ยังมีที่เวียดนามโดยคาดว่าจะเริ่มปลายปีนี้ถึงต้นปี 51 ส่วน แผนระยะสั้นปีนี้จะขยายสาขาเพิ่มอีก 5 สาขางบลงทุนสาขาละ 5 ล้านบาททั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลจากปัจจุบันมีอยู่ที่กรุงเทพฯ 1สาขาและที่จังหวัดภูเก็ต ส่วนสินค้าใหม่จะนำเข้าจากต่างประเทศในไตรมาส 4 ปีนี้ ส่งผลให้สัดส่วนนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ 20% ที่เหลือคือผลิตในประเทศ

" กลุ่มลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นผู้รับเหมา,นักออกแบบตกแต่งภายในอาคารที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคารพาณิชย์ ซึ่งกลุ่มตลาดของบริษัทคือตลาดที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์โดยบริษัทจะเน้นงานด้านคอนโดมีเนียมเนื่องจากโอกาสในการเติบโตยังมีอีกมาก " นายสัญชัยกล่าว

นางชมเดือน ศตวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทไทยเอ็น ดีที จำกัด (มหาชน) หรือ TNDT เปิดเผยว่าหากไม่มีปัจจัยใหม่กระทบรุนแรงคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดmaiได้ช่วงไตรมาส3 ปีนี้ โดยบริษัทได้เสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก(ไอพีโอ) 20 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 1 บาทซึ่งภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้จะมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเพิ่มเป็น100 ล้านบาท โดยได้แต่งตั้งให้บริษัทแอสเซทโปรแมเนจเม้นท์ จำกัดเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 200 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่ม 20 % เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 154 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตที่มาจากลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโตของภาวะอุตสาหกรรมทางด้านพลังงานปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมก่อสร้าง

ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากลูกค้าภายในประเทศคิดเป็น 90% ที่เหลือเป็นจากต่างประเทศ และปีนี้บริษัทจะเจาะตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยปีนี้สัดส่วนน่าจะเพิ่มขึ้นอีก 5 % ขณะที่สัดส่วนรายได้ภายในประเทศก็ยังขยายตัวต่อเนื่อง

นางสุวรรณา ขจรวุฒิเดช กรรมการผู้จัดการ บริษัทมีนาทรานสปอร์ต จำกัด เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด mai คาดว่าภายใน 2 ปีจะสามารถเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนได้ เพราะต้องเงินทุนไปเพิ่มสินทรัพย์ประเภทรถขนส่งเพื่อรองรับโครงการในอนาคต จากปัจจุบันมีรถขนส่ง 300 คัน

และหากมีเงินสดเพียงพอจะนำมาชำระหนี้บางส่วนเพื่ออัตราดอกเบี้ยรวมทั้งบริษัทอยากให้มีผู้มีความสามารถงานด้านรับจ้างขนส่งเข้ามาช่วยดูแลกิจการจากปัจจุบันบริษัทถือหุ้น100% ปัจจุบันบริษัทมียอดขายต่อเดือนอยู่ที่ 20 ล้านบาทโดยตั้งเป้าว่าปีนี้จะมีรายได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 240 ล้านบาท หรือเติบโต 5% ซึ่งลูกค้าหลักของบริษัททั้งขนาดใหญ่และกลาง 5-6 รายที่ใช้บริการอย่างต่อเนื่องและบริหารความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันด้วยทำข้อตกลงกันล่วงหน้าหากราคาน้ำมันมีการขึ้น-ลงทุก 1%

นายสุรพล รุจิกาญจนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัททิล ไดเมท (สยาม) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเล็งที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนด้วย แต่ก็ไม่รีบร้อน เนื่องจากขณะนี้อยู่ระหว่าง เจรจากับพันธมิตร เพื่อที่จะเข้าร่วมงานกัน ซึ่งปัจจุบัน บริษัทได้ใช้ลิขสิทธิ์ของสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย

" การแข่งขันของธุรกิจสีรุนแรง เราต้องการหาตลาดใหม่ ด้วยการบุกตลาดต่างประเทศ แต่ ก็ต้องได้รับอนุมัติจากเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน เนื่องจากที่ตกลงกันไว้ในสัญญานั้น เราทำเพื่อจำหน่ายในประเทศเท่านั้น " นายสุรพลกล่าว

ดังนั้น หากดีลนี้สำเร็จก็ถือเป็นแรงหนุนที่จะทำให้แผนการระดมทุนของบริษัทได้เร็วขึ้นด้วย ซึ่ง คาดว่าการเจรจาดังกล่าวจะสรุปผลได้ปลายปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทก็รอดูเหตุการณ์ทางการเมืองให้ชัดเจน เพื่อให้บรรยากาศเหมาะสมลงทุน และทำให้นักลงทุนหันมาสนใจมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการเอื้อต่อการขายหุ้น IPO

สำหรับปีนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 300 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อนประมาณ 20-30% ส่วนปี 51 คาดว่าจะเติบโตเพียง 10% ซึ่งบริษัทเข้าบิดงานปีละ 800-1,000 ล้านบาทและ ได้งานประมาณ 20 %

อย่างไรก็ดี แผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนนั้น คงไม่ทันยื่นไฟลิ่งในปีนี้ คาดว่าจะเห็นได้ในปีถัดไป โดยหากต้องระดมทุน บริษัทจะนำไปใช้ในการขายกำลังการผลิต และขยายตลาด และในส่วนของการถือหุ้นนายสุรพลก็พร้อมไดรูทเหลือเพียง 10-20% จากปัจจุบันที่ถืออยู่ 27% และ บริษัท วัททิล ไดเมท (สยาม) จำกัด มีทุนจดทะเบียน 70 ล้านบาท

นายวิโรจน์ จุนประทีปทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สรรพสินค้าตั้งฮั้วเส็ง จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทเตรียมการเจาะตลาดในชุมชนหมู่บ้านจัดสรรมากขึ้น แทนการขยายห้างสรรพสินค้า เพราะการแข่งขันสูง

โดยบริษัทจะเปิดเป็นร้านสะดวกซื้อภายใต้ชื่อ GET IT MINI SUPERMARKET ที่จะรวบรวมสินค้าประเภทอาหารสดและอาหารสำเร็จรูปที่จัดเป็นแพค เพื่อง่ายและสะดวกต่อการจำหน่ายและการนำไปปรุงเป็นอาหารของลูกค้า และจะมีความแตกต่างจากร้านสะดวกซื้อทั่วไป โดยใช้เงินลงทุนแห่งละ 2-3 ล้านบาท โดยคาดว่าจะขยายปีละ 2-3 สาขา และผลงานในปี 49 นั้น ยอดขายของบริษัทไม่เพิ่ม แต่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ขณะที่ผลงานในปี 50 แนวโน้มดีกว่าปีที่ผ่านมา

ส่วนแผนการกระจายหุ้นนั้น รออีกระยะหนึ่ง เมื่อต้องการขยายงานและต้องการเงินทุนเพื่อใช้ ซึ่งบริษัทก็มีแผนที่จะระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ mai ในอนาคต   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us