|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ภาวะการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯวานนี้ (31 ก.ค.50) ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงเกิดการปรับฐานต่อเนื่อง สวนกระแสตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคที่มีการปรับตัวขึ้น โดยมีแรงเทขายทำกำไรออกมาในกลุ่มพลังงานก่อนส่งผลทำให้ดัชนีปิดที่ 859.76 จุด ลดลง 3.82 จุด หรือ 0.44% โดยมีจุดสุงสุดที่ 869.85 จุด และต่ำสุดที่ 854.99 จุด มูลค่าการซื้อขาย 22,735.25 ล้านบาท
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 563.34 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 492.69 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1056.03 ล้านบาท
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี จำกัด เปิดเผยว่า การที่หุ้นปรับตัวลดลงวานนี้เป็นผลต่อเนื่องมาจากในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคมีการปรับตัวลดลง ทำให้วานนี้หุ้นไทยได้รับผลกระทบย้อนหลัง ประกอบกับการที่ไม่มีปัจจัยบวกเข้ามา ทำให้ตลาดหุ้นเกิดการปรับฐานต่อเนื่องจากวันศุกร์ที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมากว่า 4 พันล้านบาท
"ถ้าเงินบาทอ่อนค่าลง เม็ดเงินลงทุนของต่างชาติก็จะลดลงต่อเนื่อง เพราะการทำกำไร 2 ต่อของนักลงทุนต่างชาติจะลดลงไปด้วย ทั้งนี้เชื่อว่าการลดลง เป็นการทำกำไรระยะสั้นหลังจากที่หุ้นขึ้นมา 200 จุดเท่านั้น เพราะในระยะยาวยังมีมุมมองเศรษฐกิจประเทศไทยเป็นบวกอยู่ ทั้งนี้ในระยะสั้นดัชนีมีแนวโน้มแกว่งตัว โดยให้แนวรับที่ 840-852 จุด และให้แนวต้านที่ 870-878 จุด"
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงสวนกระแสตลาดหลักทรัพย์ทั่วภูมิภาคที่มีการปรับตัวขึ้น เกิดมาจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ในหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ที่มีแรงขายทำกำไรออกมาค่อนข้างมาก ภายหลังจากที่ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นมามากรับรู้ถึงแนวโน้มราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไปแล้ว
เทขายหุ้นพลังงานระยะสั้น
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล. โกลเบล็ก กล่าวว่า สาเหตุที่ช่วงนี้ราคาในกลุ่มน้ำมันปรับตัวลดลงนั้น เนื่องมาจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่เริ่มมีการปรับตัวลดลง และการเทขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มดังกล่าว หลังจากที่ราคาของหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาอย่างมาก อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าการเทขายทำกำไรในขณะนี้จะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น
"แนวโน้มในกลุ่มพลังงานครึ่งปีหลังของปี 2550 น่าจะยังคงอยู่ในทิศทางที่สดใส แต่ในไตรมาส 4 อาจจะมีการชะลอตัวลง เนื่องมาจากราคาน้ำมัน และค่าการกลั่นที่มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลง ส่วนแนวโน้มราคาเฉลี่ยของน้ำมันปีนี้น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน อย่างไรก็ตามหุ้นในกลุ่มพลังงานตอนนี้ยังไม่เต็มมูลค่า โดยกำหนดมูลค่าเหมาะสมของ PTT ไว้ที่ 353 บาท PTTEP ที่ 142 บาท และ BANPU ที่ 277 บาท "
แหล่งข่าวนักวิเคราะห์ กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวขึ้นมานั้น เกิดมาจากฟันด์โฟว์ ของนักลงทุนต่างชาติประมาณ 50 % และอีก 50 % มาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทประกอบกับแนวโน้มของราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตามราคาของหุ้นในหลายบริษัทในกลุ่มดังกล่าวขณะนี้เป็นราคาที่สะท้อนถึงผลประกอบการของปีหน้าแล้ว
ทั้งนี้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกรกฎาคม โดยดัชนีกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคปิดวานนี้ที่ 19,152.95 จุด เพิ่มขึ้นจากดัชนีกลุ่มปลายเดือนมิถุนายนที่ 16,548.54 จุด กว่า 2,604.41 จุด หรือ 15.73 %
โรดโชว์ญี่ปุ่นฉลุย
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไท (ตลท.) กล่าวถึง การไปร่วมงาน “ International Roadshow in Japan ” ระหว่างวันที่ 29 –31 กรกฎาคม 2550 ประเทศญี่ปุ่น ตามคำเชิญของบริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และ Nomura Securities Co., Ltd. ว่า ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริหารกองทุนและตัวแทนสถาบันต่าง ๆ รวมกว่า 70 ราย โดยนักลงทุนสถาบันที่เข้าร่วมโรดโชว์มาจากหลายหมวดธุรกิจด้วยกัน อาทิ ธนาคาร ประกัน ธุรกิจร่วมลงทุน บริษัทจัดการลงทุน และธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภค
ทั้งนี้ ประเด็นที่สถาบันเหล่านี้สนใจสอบถามได้แก่ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน รวมทั้ง สถานการณ์ทางการเมือง โดยตลท.ได้ใช้โอกาสนี้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเป้าหมายและทิศทางการดำเนินงานของตลท. และบริษัทในเครือ รวมทั้งประชาสัมพันธ์สินค้าใหม่ คือ อิควิตี้อีทีเอฟ และ SET50 Index Options ที่จะเริ่มซื้อขายในไตรมาส 3 และ 4 ตามลำดับ ซึ่งนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจอย่างมากเช่นกัน
สำหรับช่วงการพบบริษัทจดทะเบียนแบบ one-on-one meeting มีนักลงทุนสถาบันประมาณ 20 แห่งเข้ารับฟังข้อมูลจากบริษัทจดทะเบียนแต่ละแห่งที่เข้าร่วมงาน ได้แก่ บมจ. ธนาคารกรุงเทพ บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และบมจ. ไทยออยล์
“การเดินทางไปให้ข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบันในประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ ช่วยสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนสถาบันในญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นนักลงทุนที่ลงทุนเพื่อผลตอบแทนในระยะยาว และต้องการข้อมูลที่เพียงพอก่อนตัดสินใจลงทุน” นางภัทรียากล่าว
นายวิจิตร สุพินิจ ประธานกรรมการตลท. กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและพัฒนาตลาดทุนอย่างจริงจัง และในระยะอันใกล้นี้จะมีการลงประชามติให้ความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญ และจะมีการเลือกตั้งในปลายปีนี้ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ด้านการเมืองของประเทศไทยมีความชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ ปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจ อาทิ ตัวชี้วัดระดับเศรษฐกิจมหภาคที่แสดงให้เห็นถึงพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง การลงทุนในโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ แม้กระนั้น ค่าพีอี หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้นของตลาดหุ้นไทย ก็ยังถือว่าต่ำกว่าตลาดหลายแห่งในภูมิภาค ขณะที่มีสภาพคล่องและผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง
คอมพิวเตอร์ตลาดหุ้นป่วนแสดงข้อมูลผิด
ด้านบรรยากาศในช่วงปิดตลาดหลักทรัพย์ ปรากฎว่า ระบบแจ้งข้อมูลการซื้อขายผ่าน www.set.or.th ได้แสดงผลการซื้อขายผิดพลาด เช่น การเปลี่ยนแปลงของดัชนี SET จากปกติปิดลดลง 3.82 จุด หรือ 0.44% เป็นลดลง 177.48 จุด หรือ ลดลง 20.55% ขณะที่มูลค่าซื้อขายที่ถูกต้องซึ่งอยู่ที่ 22,735.25 ล้านบาท เป็น 13,493.18 ล้านบาท ด้านดัชนี mai จากปกติปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.46 จุด หรือ 2.13% เป็นลดลง 94.73 จุด หรือ 37.01% มูลค่าการซื้อขายที่ถูกต้องอยู่ที่ 199.65 ล้านบาทเป็น 101.50 ล้านบาท
|
|
 |
|
|