|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ปูนใหญ่ รับพิษค่าบาทแข็ง 6 เดือนแรกกำไรสูญแล้ว 1.9 พันล้านบาท ผสมโรงเศรษฐกิจชะลอตัวฉุดผลงานครึ่งปีแรกวูบกว่า 13% ขณะที่งบเฉพาะไตรมาส 2 ได้รับแรงหนุนจากการขายเงินลงทุนทำให้กำไรสุทธิเพิ่ม 16% ขณะที่ผู้บริหาร ปรับแผนเบนเข็มเพิ่มส่งออกหลังตลาดในประเทศชะลอตัว ส่งผลให้ยอดส่งออกเพิ่มเป็น 33-34% และยอดการรับรู้รายได้เงินดอลลาร์สูงขึ้น พร้อมคาดปีนี้โตไม่ถึงเป้า 5 % พร้อมทุ่มงบ 450 ล้านบาทลุยผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กในกัมพูชา
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อผลงานของบริษัท โดยทำให้กำไรครึ่งแรกปีนี้ลดลง 1,900 ล้านบาท เทียบกับปี 2549 ที่กำไรสุทธิลดลงจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นประมาณ 1,800-1,900 ล้านบาท และช่วงครึ่งหลังปีนี้ หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหรืออยู่ในระดับใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก ซึ่งมีส่วนต่างประมาณ 3.50 บาท จะกระทบต่อกำไรใกล้เคียงกันกับช่วงครึ่งปีแรก
อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทประมาณ 800 – 900 ล้านบาท โดยเฉลี่ยหากว่าค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นทุกๆ 1 บาท บริษัทจะได้รับผลกระทบประมาณ 900 ล้านบาท และขึ้นอยู่กับสัดส่วนการส่งออกสินค้าด้วยว่ามากน้อยเพียงใด
สำหรับมาตรการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการให้บริษัทสามารถถือครองเงินสกุลสหรัฐได้นานขึ้น เชื่อว่าช่วยให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงได้ ถือเป็นการผ่อนคลายได้บ้าง แต่อัตราดอกเบี้ยก็ลดลงมากจะมีผลกระทบอย่างไรบ้างคงต้องติดตามควบคู่กันไป และก็คงต้องติดตามมาตรการของธปท. ว่าจะมีมาตรการใดออกมาเพิ่มอีกหรือไม่
นายกานต์ กล่าวถึง โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของบริษัทอยู่ที่ 5% หรือมีรายได้ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท แต่เชื่อว่ารายได้อาจไม่เป็นไปตามเป้า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอ และค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง
"รวมทั้งยอดจำหน่ายสินค้าของเราไตรมาสนี้ทั้งซีเมนต์ลดลง เพราะในประเทศก็ไม่ดีแล้วรวมทั้งวัสดุก่อสร้างด้วย กระดาษก็โตแค่ 1% มีเพียงปิโตรเคมีที่ยอดขายเพิ่มแต่ก็เล็กน้อย ทำให้เราต้องหันไปเพิ่มการส่งออกมากขึ้น โดยไตรมาส 2 เราส่งออก 33-34 % ของรายได้ทั้งหมด จากที่เคยส่งออกเพียง 31% และเมื่อคิดเป็นยอดขายสกุลเงินดอลลาร์มียอดขายเพิ่มขึ้น 13% แต่เมื่อกลับมาคิดเป็นสกุลเงินบาทโตเพียง 3% ทำให้ประเมินยอดขายในปีนี้อาจโตเพียง 2-3% " นายกานต์กล่าว
นายกานต์ กล่าวถึง คืบหน้าการลงทุนที่ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นธุรกิจโรงงานกระดาษ มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.2 แสนตันต่อปี ว่า ขณะนี้ยังเดินหน้าตามแผน โดยบริษัทได้เปิดทางให้ "เรงโกะ" จากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาถือหุ้น 30% บริษัทจึงเหลือหุ้นที่ถือเพียง 70% ขณะที่โรงงานปูนซีเมนต์ที่ประเทศกัมพูชา คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4 ปีนี้ และโครงการโรงไฟฟ้าที่ กัมพูชา คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 450 ล้านบาท และจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าประมาณ 4 เมกะวัตต์ และการลงทุนที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น ขณะนี้บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลการลงทุน
นายกานต์ กล่าวต่อว่า การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท โดยบริษัทได้ประกันความเสี่ยงโดยการชำระเงินค่าเครื่องจักรล่วงหน้า ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯมีหนี้ทั้งหมด 9.52 หมื่นล้านบาท ซึ่งลดลงจากสิ้นปีที่ผ่านมา ที่มีหนี้อยู่ที่ 1.03 แสนล้านบาท โดยหนี้ทั้งหมดเป็นสกุลเงินบาท ส่วนเรื่องการออกหุ้นกู้ บริษัทมีครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ในเดือนพฤศจิกายน 1 หมื่นล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะออกหุ้นกู้เพิ่มทั้งหรือน้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท หลังจากที่เมื่อเมษายนที่ผ่านมาบริษัทได้ออกหุ้นกู้ 9 พันล้านบาท
"และไตรมาสนี้ เราบันทึกรายได้จากการขายเงินหุ้นของ บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC จำนวน 3% จากที่ถืออยู่หุ้นหมด 8% ประมาณ 1.2 พันล้านบาท และจะบันทึกเป็นรายได้ในไตรมาส 3 อีก 1.8 พันล้านบาท " นายกานต์กล่าว
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทมียอดขาย 63,612 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 8,815 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 16% เป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ มีกำไรจากการขายเงินลงทุนบริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด และ ATC คิดเป็นเงินประมาณ 2.4 พันล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 6.37 พันล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14% เนื่องจากราคาวัตถุดิบของเคมีภัณฑ์ปรับสูงขึ้น ประกอบค่าเงินบาที่แข็งค่า รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และจัดจำหน่ายกระดาษ
โดยครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายอยู่ที่ 128,949 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 17,028 ล้านบาท ลดลง 1% ส่วนกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท หรือลดลงประมาณ 13% เป็นผลมาจากในช่วงครึ่งปีแรกปี 49 บริษัทมีการรับรู้กำไรจากการเปลี่ยนแปลงสถานะในเงินลงทุนของบริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์ จำกัด หรือ (BST) ประมาณ 1.4 พันล้านบาท ประกอบกับค่าเงินบาทที่สูงขึ้น ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกลดลง
นอกจากการที่บริษัท ระยองโอเลฟินส์ หรือ ROC ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) ทำให้ไม่ต้องจ่ายภาษี 15% นั้น ก็หมดลงแล้ว ก็ส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของ SCC
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการบริษัทก็ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในงวดครึ่งแรกปี 50 ที่ระดับ 7.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นเฉพาะที่มีสิทธิรับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 8 สิงหาคม 50 เวลา 12.00 น. และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 22 สิงหาคม 50
|
|
|
|
|