Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2550








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2550
Eco-car เพื่ออนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมจริงหรือ?             
โดย พัชรพิมพ์ เสถบุตร
 


   
search resources

Automotive
Environment




"นโยบาย Eco-car คลอดออกมาแล้ว สร้างความฮือฮามิใช่น้อยให้กับวงการรถยนต์บ้านเรา กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งข้อกำหนดให้ Eco-car มีคุณสมบัติในการใช้น้ำมันไม่เกิน 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (หรือ 20 กม. ต่อลิตร) มีการปล่อยไอเสียให้ได้ตามข้อกำหนดของ Euro 4 และมีมาตรฐานความปลอดภัยตามมาตรฐานของ EU นอกจากนั้นบริษัทผู้ผลิต Eco-car ยังจะต้องผ่านเงื่อนไขของ BOI ให้มีกำลังการผลิตถึง 1 แสนคันภายในปีที่ 5 และลงทุนในการผลิตอย่างน้อย 5 พันล้านบาท จึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีสรรพสามิต 17% จากเดิมที่เสียสำหรับรถยนต์เก๋งขนาดกลางประมาณ 30% รวมทั้งได้รับข้อยกเว้นต่างๆ ของ BOI"

เงื่อนไขดังกล่าวนี้มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศ ให้เมืองไทยเป็นแหล่งผลิตรถยนต์รูปแบบใหม่เพื่อแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน

เป้าหมายอยู่ที่การส่งออก หรืออยู่ที่การอนุรักษ์กันแน่

เห็นได้ชัดว่า เป้าหมายสูงสุดก็คือ ความหวังที่จะสร้างเมืองไทยให้เป็น "regional hub" ของอุตสาหกรรมรถยนต์ หรือเป็น Detroit แห่ง Asia ซึ่งเป็นการดำเนินรอยตาม ที่รัฐบาลทักษิณได้พยายามผลักดันเอาไว้ และถ้าประสบผลสำเร็จ ผลประโยชน์อย่างมหาศาลก็จะตกอยู่กับค่ายผลิตรถยนต์นั่นเอง หากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ คือ การอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ดูจะถูกละเลยกลายเป็นเป้าหมายรองลงมา เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

ถ้าจะมองกันในแง่ผู้ผลิต ผู้บริหารของ โตโยต้าได้ออกมาเปิดเผยว่า "จากข้อกำหนด และเงื่อนไขที่ออกมา บริษัทโตโยต้าก็มิได้เห็นด้วยกับกระทรวงฯ ไปทั้งหมด เพราะการ ลงทุนเพื่อขายให้ได้ปีละ 1 แสนคันนั้นทำสำเร็จได้ยาก ปัจจุบันยอดขายรุ่น YARIS และ VIOS รวมกันก็ยังทำยอดได้ไม่ถึง 1 แสนคันเลย จึงเห็นว่าน่าจะเอาต้นแบบของ YARIS และ VIOS มาปรับโฉมให้ได้รถ Eco-car ตามที่กำหนด"

ในแง่เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ประชากรส่วนใหญ่จะได้อะไรจาก Eco-car? แม้ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้มีการพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพขึ้นมา แต่ประชากรส่วนใหญ่ที่ทำมาหากินในภาคเกษตรกรรมอันเป็นหลักของประเทศ ก็ยังคงต้องใช้รถปิกอัพกันต่อไป มีแต่ประชากรส่วนหนึ่งในเมืองเท่านั้นที่จะได้รับอานิสงส์จาก Eco-car ด้วยราคาซื้อที่ถูกลงและการใช้งานที่ประหยัดน้ำมัน แต่การที่รัฐตั้งเงื่อนไขให้มีการผลิตจำนวนมากเพื่อส่งออก ย่อมจะก่อผลกำไรส่วนใหญ่ให้กับนักลงทุนในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์เท่านั้น

ในแง่ของสิ่งแวดล้อม การผลิตออกมาขายในราคาต่ำย่อมจะสร้างแนวโน้มให้คนไทยซื้อรถยนต์ประเภทนี้มาใช้กันเต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งโดยรวมแล้วก็จะเป็นการเพิ่มการใช้น้ำมัน (ซึ่งต้องพึ่งพาการนำเข้า) เพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากขึ้น (โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์) สวนทางกับกระแสโลกที่รณรงค์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ยิ่งกว่านั้นก็ยังเป็นการเพิ่มปัญหาจราจร มลพิษทางอากาศ เข้าไปอีก ทั้งหมดนี้เป็นความขัดแย้งกับการอนุรักษ์พลังงาน สิ่งแวดล้อม และค้านกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโดยสิ้นเชิง

ทำไมจึงไม่ส่งเสริมนวัตกรรม
ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ขึ้นมา

ในโลกปัจจุบัน Eco-car ยังมีรูปแบบ นวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาอีก ได้แก่

- รถ hybrid ลูกผสมที่ขับเคลื่อนด้วยระบบน้ำมันร่วมกับไฟฟ้าแบตเตอรี่ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในสหรัฐฯ และยุโรปอยู่ในขณะนี้ ทั้งๆ ที่มีราคาสูงก็มีรายชื่อผู้สั่งซื้อยาวเหยียดจนผลิตออกมาขาย ไม่ทัน มีคนดังและดาราหลายคน เช่น คามิรอน ดิแอซ เป็นลูกค้า รุ่นที่กำลังดังอยู่ในเวลานี้คือ Toyota Prius

- รถที่ใช้พลัง hydrogen จาก fuel-cells ซึ่งจัดว่าเป็น zero-emission car เพราะไม่ปล่อยไอเสียออกมาเลย ส่วนที่ปล่อยออกมาคือน้ำบริสุทธิ์ แม้จะยังห่างไกลจากการใช้งานจริง ค่ายต่างๆ เช่น GM, Ford, Honda ก็ผลิตรถประเภทนี้ออกมาเป็นต้นแบบแล้ว โดยมีแผนงาน ที่จะขยายผลออกมาสู่ตลาดในอีก 4-5 ปีข้างหน้า

- รถยนต์ที่ใช้พลังงานทางเลือกอย่างอื่นๆ ได้แก่ รถยนต์ที่ออก แบบเครื่องยนต์มาให้ใช้ biofuels ต่างๆ (เช่น biodiesel, gasohol, ethanol, methanol) และรถที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์จาก solar cells

รถรูปแบบใหม่ๆ เหล่านี้ก็ควรรวมอยู่ในข่ายของ Eco-car ที่รัฐจะต้องส่งเสริมอย่างจริงจังด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าขณะนี้ยังดูเหมือนว่ายังไม่มีโครงสร้างอะไรรองรับ แต่กระแสตอบรับของสังคมก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมาในอนาคตอันใกล้ นอกจากนั้นยังเป็น การเปิดวิสัยทัศน์ เปิดโอกาสและสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้กับทั้งผู้บริโภคและผู้ลงทุน นี่แหละคือแนวทางของรถ Eco-car ที่บ้านเราไม่ควรละเลยมองข้ามไป

มุ่งสู่การแข่งขันเพื่อยืนผงาดทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค

ถ้ารัฐจะมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาคุณภาพให้ยืนผงาดอยู่ในภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ได้อย่างสง่างามแล้ว ก็ควรจะมุ่งส่งเสริมด้วยการ ศึกษา การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ มิใช่จะทุ่มทางด้านปริมาณการส่งออกแต่เพียงอย่างเดียว นโยบาย Eco-car ที่เป็นอยู่ขณะนี้เหมือนกับว่าเรายืนอยู่ครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างการใช้เทคโนโลยีแบบเดิมๆ กับการรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ถ้าเราต้องการจะก้าวพัฒนาขึ้นมา ได้ด้วยตัวเองแล้ว เราต้องมองให้ไกลไปข้างหน้าและกล้าลงทุนกับเทคโนโลยีใหม่ๆ แม้ว่าทางเลือก ใหม่ๆ อาจจะเป็นข้อเสนอที่ล้ำหน้าแพงเกินไป แต่ในระยะยาว มันจะให้ผลคุ้มค่าแน่นอน ทั้งยังเป็นการกระจายแหล่งพลังงานให้หลากหลายมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับน้ำมัน และพลังงานรูปแบบเดิมๆ กันอีกต่อไป ดังนั้นข้อกำหนด Eco-car ควรจะเปิดให้กว้างกว่านี้ เพื่อให้เกิดการพัฒนาขึ้นมาอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันก็สร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้ใช้เพิ่มความสามารถกับผู้ผลิตในการแข่งขันให้สูงขึ้น

แนวทางที่รัฐควรพิจารณา วางแผนและเตรียมการ

สุดท้ายนี้ ถ้ารัฐมีความจริงใจในการอนุรักษ์พลังงานรักษาสิ่งแวดล้อม และลดก๊าซเรือนกระจก กันจริงๆ แล้ว นอกจากจะมีนโยบายรถ Eco-car ออกมาแล้ว ยังต้อง หาทางแก้ปัญหาจราจร ปัญหามลพิษ ผลกระทบจากราคาน้ำมันผันผวนให้ได้อย่างจริงจัง แนวทางที่ควรจะดำเนินการเป็นหลัก คือ สร้างระบบขนส่งมวลชนให้เป็นระบบและเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังต้องมีการวางผังเมืองและแผนการใช้ที่ดินที่เข้มงวด สร้างจิตสำนึกเศรษฐกิจพอเพียงสำหรับคนในเมืองและคนในชนบท และที่จะละเลยไปไม่ได้คือ สร้างสังคมที่ใช้ปัญญา (มิใช่ สังคมอุดมปัญญาแต่เพียงอย่างเดียว) สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us