กรุงเทพ-กสิกรไทย โมเดลความสำเร็จ
การศึกษาความยิ่งใหญ่ของระบบธนาคารครอบครัวไทยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมานั้น
ควรศึกษาจากบทเรียนพัฒนาการของธนาคารกรุงเทพ กับอาณาจักรธุรกิจตระกูลโสภณพนิช
และธนาคารกสิกรไทย กับอาณาจักรธุรกิจล่ำซำ ซึ่งมีบุคลิกที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ
ในช่วง 20 ปีในยุครุ่งโรจน์ของระบบธนาคารครอบครัวไทย (2505-2524) มีเพียงธนาคารกรุงเทพ
และธนาคารกสิกรไทยเท่านั้น ที่รักษาอัตราการขยายตัวของยอดเงินฝากโดยเฉลี่ยเกิน
20% ต่อปี ขณะเดียวกันสัดส่วนการครองส่วนแบ่งยอดเงินฝากทั้งระบบของธนาคารในประเทศไทย
(ทั้งธนาคารไทยและต่างประเทศ) ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากระดับ 23.7% ในปี
2505 เป็น 38.5% ในปี 2515 และ 48.2% ในปี 2524
พัฒนาการธนาคารทั้งสองมีความสัมพันธ์กับบทบาทของชิน โสภณพนิช ผู้ก้าวเข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่
ธนาคารกรุงเทพในปี 2495 ขณะที่บัญชา ล่ำซำ เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทยในปี
2505 พร้อมๆ กับการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นในธนาคารทั้งสอง โดยตระกูลโสภณพนิชและล่ำซำเข้าถือหุ้นใหญ่
โดยโสภณพนิชเข้าถือหุ้นใหญ่ที่สุด 32% ในธนาคารกรุงเทพ ปี 2511 ขณะที่ล่ำซำถือหุ้นใหญ่เด็ดขาดในธนาคารกสิกรไทยถึง
58% ในปี 2513
การเปลี่ยนแปลงที่ถือว่า เป็นการปรับโครงสร้างการถือหุ้นกับการบริหาร ที่เด็ดขาดอยู่ในระบบครอบครัวเดียว
ซึ่งถือเป็นโมเดลความสำเร็จของธุรกิจไทยในช่วงหลายทศวรรษมานี้
ชิน โสภณพนิช (2453-2531) ผู้เริ่มต้นเป็นกัมประโดธนาคารกรุงเทพ ผู้สามารถ
เนื่องจากเขาเป็นผู้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับวงการค้าของพ่อค้าคนจีนย่านทรงวาด
ราชวงศ์ ซึ่งถือเป็นถนนธุรกิจในช่วงหลังสงครามโลกครั้งสอง เมื่อเขาก่อตั้งบริษัทเอเชียทรัสต์
ในปี 2493 ทำธุรกิจค้าเงินที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้เขามีพื้นฐานในการบริหารธนาคารกรุงเทพในช่วงต่อมา
โดยเฉพาะในช่วงวิกฤติการณ์
ข้อต่อสำคัญที่กลายเป็นบุคลิกและเงื่อนไขสำคัญในการเจริญเติบโตทางธุรกิจ
ในช่วงปี 2495-2500 ที่ชิน โสภณพนิช สามารถเข้าไปกอบกู้วิกฤติธนาคารกรุงเทพสำเร็จ
ด้วยการขอให้กระทรวงเศรษฐการ (กระทรวงพาณิชย์) เข้ามาถือหุ้นเพิ่มทุนครั้งใหญ่
ทำให้ธนาคารแห่งนี้มีความสัมพันธ์กับการค้าต่างประเทศอย่างเต็มตัว จากการค้าข้าว
โดยมีพ่อค้าหลักๆ ที่มีอิทธิพลใช้บริการธนาคารอยู่เดิม ก็มั่นคงยิ่งขึ้นด้วยการค้าแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล
(G to G ) ซึ่งเป็นระบบโควตาอยู่ในความควบคุมของกระทรวงเศรษฐการ
ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นธนาคารแรกๆ ที่ได้รับการยอมรับจากธนาคารต่างประเทศ
การขยายตัวของธนาคารกรุงเทพ หรือธุรกิจของชิน โสภณพนิช ก็เริ่มจาก Trade
Financing ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประกันภัย คลังสินค้า ฯลฯ ซึ่งนับเป็นการเกื้อกูลให้ธนาคารกรุงเทพ
ขยายตัวมากขึ้นระดับหนึ่ง เท่านั้นไม่พอ เมื่อกลุ่มธุรกิจค้าส่งออกรายใหญ่
ซึ่งถือเป็นธุรกิจอิทธิพลในช่วงนี้ขยายตัว ก็เริ่มขยายอาณาจักรธุรกิจออกไปอย่างกว้างขวาง
พวกเขาก็ใช้บริการของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อเนื่องมา
ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงที่ชิน โสภณพนิช ต้องเดินทางไปอยู่ฮ่องกงก็ประจวบกับกลุ่มนักธุรกิจ
ใหญ่ระดับภูมิภาคเพิ่งเริ่มต้น ทำให้มีความสัมพันธ์กับธุรกิจในระดับภูมิภาคเสริมให้กิจกรรม
Trade Finance ขยายตัวมากขึ้น
เมื่อธนาคารกรุงเทพมั่นคง กระทรวงเศรษฐการซึ่งเคยถือหุ้น 60% ก็ค่อยๆ ลดลงเหลือ
30% จนในที่สุดก็ขายหุ้นทั้งหมดไป ตระกูลโสภณพนิชก็คือผู้ถือหุ้นใหญ่พร้อมๆ
กับอาณาจักรธุรกิจ และการเจริญเติบโตของธนาคารอันดับหนึ่งของประเทศ
บัญชา ล่ำซำ (2478-2536) ผ่านการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์จาก จุฬาฯ ก่อนไปเรียนบริหารธุรกิจที่สหรัฐฯ
กลับมาเมืองไทยร่วมกับอา (จุลินทร์ ล่ำซำ) ก่อตั้งบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต
จากนั้นเขาต้องเข้ามาบริหารธนาคารกสิกรไทย ก็นับว่าเป็นช่วงของการเริ่มต้นการเจริญเติบโตของธนาคารกสิกรไทย
และเครือข่ายธุรกิจตระกูลล่ำซำ
ล่ำซำ แตกต่างจากโสภณพนิช ตรงที่มีเครือข่ายธุรกิจเดิมของตระกูลอย่างกว้างขวาง
ในฐานะตระกูลเก่าแก่ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ซึ่งมีความสัมพันธ์กับต่างประเทศโดยเฉพาะตะวันตกค่อนข้างยาวนาน
ธุรกิจแกนมีอยู่ 2 อย่าง นอกจากธนาคารและธุรกิจการเงินแล้วก็คือการค้า ซึ่งนำโดยกลุ่มล็อกซเล่ย์ที่บริหารโดยคุณหญิงชัชนี
จาติกวณิช (น้องสาวของบัญชา)
ธุรกิจการเงิน นอกจากธนาคารจะมีการปรับปรุงการบริหารที่มีมาตรฐานมากขึ้น
ก็ขยายเครือข่ายด้วยการตั้งบริษัทเงินทุนและหลักทรัพย์หลายแห่ง เช่น ทิสโก้
ศรีมิตร เป็นต้น ขณะเดียวกัน ล็อกซเล่ย์ซึ่งเดิมเป็นกิจการ ค้าโดยนำสินค้าสมัยใหม่จากต่างประเทศเข้ามา
ก็เริ่มขยายตัวมากขึ้น ด้วยการลงทุนในกิจการอุตสาหกรรมหลายแห่ง
จากฐานธุรกิจสองฐาน ก็ทำให้ธุรกิจธนาคารกสิกรไทยเติบโตอย่างมาก จากการมียอดเงินฝากอยู่ในอันดับ
7 ใน ปี 2505 ในปีที่บัญชาเข้ามาเป็นกรรมการ ผู้จัดการ มาเป็นอันดับ 3 ในปี
2515 และ อันดับสองอย่างเส้นคงวามาตั้งแต่ปี 2524
นอกจากนี้ ธนาคารกสิกรไทยก็ขยายธุรกิจด้วยการเข้าถือหุ้น ในกิจการใหญ่ของต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง
กลายเป็นบุคลิกพิเศษของธนาคารแห่งนี้ ไม่ว่าจะกลุ่ม LEPITI, FIRESTONE, DOLE,
CASTRAL ฯลฯ
ธนาคารทั้งสองจึงมีฐานที่มั่นคงกว่าธนาคารอื่นๆ
บทเรียนศรีนคร "ปรับตัวช้าเกินไป"
ความจริงแล้วธนาคารศรีนครก็คือธนาคารที่ยึดโมเดลของการพัฒนาในช่วงปี 2500-2520
เช่นเดียวกับธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงเทพ แต่ทว่าธนาคารศรีนคร มิได้พัฒนาโครงสร้างความคิดและยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่องเช่นธนาคารใหญ่ทั้งสอง
จึงทำให้ธนาคารศรีนครต้องมีอันเป็นไป
ธนาคารศรีนคร ก่อตั้งขึ้นเมื่อสิงหาคม 2493 มี อื้อจือเหลียงเป็นผู้นำ
โดยมีแกนสำคัญได้แก่ อุเทน เตชะไพ-บูลย์, คุณ เศรษฐภักดี, เกียรติ ศรี-เฟื่องฟุ้ง
โดยมีอุเทน เตชะไพบูลย์ ลูกชายคนโตของเพื่อนสนิทอื้อจือเหลียง เป็นผู้จัดการ
เริ่มแรกมีทุนจดทะเบียน 10 ล้าน บาท สัดส่วนผู้ถือหุ้นสำคัญในช่วงนั้น
ตระกูลเอื้อวัฒนาสกุลของอื้อจือเหลียงถือมากที่สุด 12.5% ตระกูลเตชะไพบูลย์
11% ตระกูลเศรษฐภักดี 9.9% และตระกูลศรีเฟื่องฟุ้ง 5.7%
ธนาคารแห่งนี้สนับสนุนธุรกิจการค้าสุราของตระกูลเตชะไพบูลย์ ต่อเนื่องมา
เมื่อการขยายตัวของธุรกิจสุรา ซึ่งเป็นธุรกิจสัมปทานขยายตัว ก็ดูเหมือนว่าธนาคารศรีนครจะขยายตัวมากขึ้น
ในที่สุดตระกูลเตชะไพบูลย์ก็ถือหุ้นธนาคารศรีนครมากที่สุด แต่ความสนใจของตระกูลนี้กับธุรกิจค้าสุรามีค่อนข้างมาก
โดยใช้ธนาคารเป็นเครื่องมือสนับสนุนมายาวนาน ในช่วงปี 2515 ก็ลงทุนและได้บริหารธนาคารอีก
2 แห่ง (ธนาคารเอเชียและธนาคารมหา นคร) ซึ่งเป็นช่วงธุรกิจสุราเฟื่องฟู เช่นเดียวกับธุรกิจอื่นๆ
ไม่ว่าธุรกิจประกันภัย หรือที่ดินก็ขยายตัวอย่างมาก เป็นตระกูลธุรกิจที่เติบโตเทียบบารมีกับโสภณพนิช
และล่ำซำ
แต่ตระกูลนี้ไม่พัฒนาให้ธนาคาร มีระบบธนาคารสมัยใหม่ (คิดและทำในช่วง 10
ปีมานี้ ก็ถือว่าสายไปแล้ว) ดังนั้นเมื่อธุรกิจสัมปทานมีปัญหา บวกกับวิกฤติครั้งนี้
ธนาคารแห่งนี้จึงถูกทาง การยึด และกำลังอยู่ในกระบวนการรวมกับธนาคารนครหลวงไทย
ซึ่งมีภูมิหลังคล้ายๆ กันเชื่อว่าในที่สุด ชื่อธนาคารก็คงไม่มีอยู่ในระบบธนาคารไทย
ความล่มสลายของธนาคารศรีนคร เป็นสัญญาณของวิกฤติธนาคารครอบครัวที่อ่อนแอตามมา
ซึ่งมีโมเดลการดำเนินธุรกิจที่ล้าหลังเช่นเดียวกับอีกหลายธนาคาร และเป็นจุดเริ่มต้นของการพังทลายของระบบธนาคารครอบครัวในเมืองไทย
แรงเฉื่อยที่ไทยพาณิชย์
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของธนาคารไทยพาณิชย์ สมควรบันทึกในประวัติศาสตร์เริ่มต้น
ณ ปี 2516 เป็น ต้นมา
หนึ่ง - ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจอันต่อเนื่องมาจาก oil
shock ตั้งแต่ปี 2514 ธุรกิจธนาคารนั้นผนึกแน่นกับสถานการณ์ สถานการณ์คราวนั้น
ผลักดันให้ระบบเศรษฐกิจเปิดกว้างรับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก อย่างรุนแรงเป็นประวัติการณ์
สอง-แบงก์ไทยพาณิชย์มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจต่ำเพราะทุนจดทะเบียนน้อยมาก
ปี 2516 จำเป็นต้องเพิ่มทุนทันทีจาก 3.5 ล้านบาทเป็น 40 ล้านบาทที่สำคัญมีการเปลี่ยนตัวกรรม
การผู้จัดการใหญ่ ประจิตร ยศ-สุนทร เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากแบงก์ชาติมา ดำรงตำแหน่งแทนอาภรณ์
กฤษณามระ
ในช่วงก่อนหน้านั้นนักลงทุนจากยุโรป หรือญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีการร่วมทุนเฉพาะกับสำนักงานทรัพย์สินฯ
ซึ่งค่อนข้างจะแยกกันอย่างชัดเจนกับธนาคารไทยพาณิชย์ในยุคนั้น
ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เข้ามาทำงานในฝ่ายต่างประเทศ ซึ่งเป็นคนหนุ่มที่มีประสบการณ์จากแบงก์ต่างประเทศ
(First National City Development) ซึ่งถือเป็นหัวขบวน และมีส่วนสำคัญในการชักนำนักบริหารรุ่นใหม่
ซึ่งเป็นฐานการพัฒนาของแบงก์นี้เข้ามาเป็นระลอกๆ ปี 2518 ชฎา วัฒนศิริธรรม
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากแบงก์ชาติเข้ามาอีกคน บุกเบิกงานด้านวิจัยและวางแผน
ปี 2519 ประกิต ประทีปะเสน ผู้ชำนาญด้านตลาดทุนจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงเทพธนาทรก็เข้ามาสมทบ
คุมนโยบายด้านสินเชื่อและการตลาด
ในช่วงเวลาดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงการบริหารที่สำคัญหลายประการ โดยมีผู้บริหารในยุคดังกล่าว
3 คน ซึ่งน่าศึกษาอย่างยิ่ง
ประจิตร ยศสุนทร คือคนที่มีความต่อเนื่องมากที่สุดในธนาคารแห่งนี้ และเป็นแกนของการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสนใจ
แม้ว่าระยะหลังๆ บทบาทของเขาจะอยู่ข้างหลัง แต่ก็เป็นเพียงคนเดียวที่ยังอยู่กับธนาคารไทยพาณิชย์ยุคใหม่มาตลอด
26 ปีเต็ม
ประจิตร ยศสุนทร เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ 11 ปี (2516-2527) จากนั้นก็อยู่ในคณะกรรมการบริหารต่อเนื่องในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร
(2527-ปัจจุบัน) เขามีส่วนในการชักนำทั้งธารินทร์, โอฬาร เข้ามาทำงานในธนาคารแห่งนี้
ขณะที่ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อยู่ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ 8 ปี (2527-2535)
ต่อด้วยโอฬาร ไชยประวัติ อยู่ในตำแหน่ง 7 ปี (2535-2542) ซึ่งถือเป็นการต่อเนื่องที่แตกต่างจากยุคประจิตรอย่างมาก
ยุคประจิตร ยศสุนทร เป็นยุคการสร้างธนาคารใหม่ ภายใต้การเปลี่ยน แปลงระบบธนาคารจากยุคเดิมไปสู่
Traditional Banking ถือเป็นการวางรากฐานสำคัญ โดยการปรับเปลี่ยนที่สำคัญในเรื่องบุคลากร
การพัฒนาคน การเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ไปสู่การปรับตัวรับกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างมาก
ในช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 โดยเฉพาะการสนับสนุนกิจ การในเครือของ
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่เติบโตในช่วงนั้นเป็นต้นมา โดยเฉพาะเครือซิเมนต์ไทย
ก็เริ่มขยายการลงทุนด้านอุตสาหกรรมอย่างขนานใหญ่ในช่วงนั้นเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ในยุคประจิตร เป็นยุคของการสะสมประสบการณ์ของทีมงานรุ่นใหม่
ไม่ว่าจะเป็นธารินทร์, โอฬาร ในการเผชิญการเปลี่ยนแปลง และความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจโลก
ที่เข้ามากระทบสังคมไทย ซึ่งทำให้เกิดวิกฤติ การณ์ทางเศรษฐกิจต่อเนื่องหลายช่วง
ประสบการณ์ช่วงนั้นมีส่วนสำคัญมาก ที่ทำให้ยุคประจิตรสร้างรากฐานธนาคารที่ให้น้ำหนักการสร้างฐานมั่นคง
มากกว่าให้ความสำคัญในการขยายตัวทางสินทรัพย์อย่างมากมายในช่วง 15 ปีถัดมาของยุคธารินทร์
และโอฬาร
ในช่วงปี 2527-2542 เป็นยุคที่มีความต่อเนื่องของการพัฒนาธนาคารไทยพาณิชย์ในเชิงขยายตัวอย่างรุนแรง
เมื่อเปรียบเทียบกับระบบธนาคารพาณิชย์ไทยแล้ว ธนาคารไทยพาณิชย์ในช่วงเวลาดังกล่าวขยายตัวอย่างมาก
ความเชื่อมั่นตนเองอย่างสูง การขยายเครือข่ายในด้านอำนวยสินเชื่อกับธุรกิจอย่างกว้างขวาง
ไปสู่การสร้างเครือข่ายของธนาคารไทยพาณิชย์เองอย่างมากมาย จนไม่อาจควบคุมได้ในช่วงปี
2530-2540 เป็นโมเดลของการขยายตัวใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากฐานเดิมอย่างสิ้นเชิง
การขยายตัวอย่างก้าวร้าวและรุนแรง ด้วยความมั่นใจอย่างสูงของผู้บริหารของไทยพาณิชย์
เป็นสัญลักษณ์ของความพองตัวเกินธรรมชาติของระบบเศรษฐกิจด้วย
ในปี 2530 เป็นต้นมา โมเดลการขยายตัวของธนาคารไทยพาณิชย์ มิได้จำกัดอยู่ที่บทบาทของธนาคารพาณิชย์เพียงอย่างเดียว
นักบริหาร คนหนุ่มไฟแรง มองธนาคารไทยพาณิชย์เป็นเครือข่ายที่สร้างอาณาจักรธุรกิจขึ้นแวดล้อม
ตามโมเดลของการเจริญเติบโตของธนาคารไทยในช่วงปี 2500-2520 โดยเฉพาะธนาคารกรุงเทพ
และธนาคารกสิกรไทย
จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ยุทธศาสตร์ธนาคารไทยพาณิชย์จากนั้นขับเคลื่อนออกไปด้วยแรงจูงใจพิเศษบางประการ
หนึ่ง-ความต้องการสร้างอำนาจธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ แข็งแรงเพื่อสร้างพลังในการต่อรองกับอำนาจธุรกิจใหม่จากกลุ่มสื่อสาร
กับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ทรงอิทธิพลกลุ่มใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว กำลังสั่นคลอนพลังของกลุ่มธุรกิจเดิม
สอง-กลุ่มพลังทางธุรกิจใหม่เหล่านั้นมีอำนาจมากขึ้น ข้ามพรมแดนเข้าไปสู่การเมืองอย่างน่าเกรงขาม
โดยไม่คาดคิดว่าระบบเศรษฐกิจไทยที่กำลังพองตัวนั้น กำลังมีปัญหา และในที่สุดก็ลากธนาคารไทยพาณิชย์ให้มีปัญหาหนักหนาพอสมควร