สงครามระหว่างประเทศอิรักกับกลุ่มประเทศพันธมิตรภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกายังไม่ทันยุติลง
สงครามกลางเมืองระหว่างรัฐบาลอิรักกับชนหมู่น้อย 2 กลุ่มในอิรักก็ระเบิดขึ้น
บุคคลที่ต้องทำงานหนักที่สุดในทั้ง 2 ศึกใหญ่นี้ได้แก่ประธานาธิบดี ซัดดัม
ฮุสเซน แห่งอิรัก ซึ่งต่อไปนี้ขอกล่าวถึงผู้นำท่านนี้อย่างสั้นๆว่า "ซัดดัม"
ในฐานะประธานาธิบดีของประเทศอิรัก ซึ่งมีพลเมือง 18.8 ล้านคน ซัดดัมเป็นนักบริหารที่น่าทึ่งและน่าสนใจมาก
ใครก็ตามที่ต้องการทำสงครามกับซัดดัมจะต้องคิดหนักและคิดให้รอบครอบ เพราะซัดดัมมิใช่บุคคลธรรมดาที่ใครๆจะจัดการอย่างง่ายดายได้
ท่านเป็นผู้ที่มีความคิดหลักแหลมและล้ำลึก
ขณะนี้ ซัดดัมกำลังเป็นบุคคลที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ภาพและชื่อของท่านปรากฏอยู่ในหนังสือพิมพ์และวารสารทั่วโลก
ท่านมีทั้งคนรักและคนชัง มีทั้งคนนับถือและเหยียดหยาม
แม้ว่าคนทั่วโลกจะรู้จักซัดดัมดี แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักชีวิตในอดีตของท่าน
มีผู้เขียนชีวประวัติของท่านหลายราย แต่ตัวท่านเอง ยังไม่เคยเปิดเผยชีวประวัติของท่าน
ความน่าเชื่อถือของเรื่องราวที่ผู้อื่นเขียนไว้จึงต้องขมวดเป็นเครื่องหมายคำถามไว้ก่อน
กล่าวกันว่า พ้าซัดดัมมีโอกาสเขียนอัตชีวประวัติโดยเฉพาะบันทึกความจำเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ท่านคงไม่ต้องหาโรงพิมพ์เอง
และหนังสือของท่านคงขายดีติดอันดับที่ 1 อย่างแน่นอน
บุคคลที่ให้ความสนใจต่อชีวประวัติของซัดดัมเป็นพิเศษเห็นจะได้แก่บรรดานักจิตวิทยา
นักจิตวิเคราะห์ตลอดจนจิตแพทย์ทั้งหลายในสหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญพฤติกรรมมนุษย์นี้ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตในอดีตของซัดดัมโดยเฉพาะในสมัยที่ท่านยังเยาว์วัย
เพื่อนำไปสร้างจิตภาพที่บ่งบอกอุปนิสัยใจคอใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด
เพื่อว่าฝ่ายทหารและฝ่ายรัฐศาสตร์การเมืองจะได้นำจิตภาพนี้ไปสร้างนโยบายตลอดจนแผนยุทธศาสตร์ต่อไป
จิตภาพสำคัญขนาดไหน? ในการทำสงครามสิ่งสำคัญที่สุดมิได้อยู่ที่อำนาจการยิงหรือ?
มีผู้วิพากษ์วิจารณ์กันว่าอิรักต้องพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้ เพราะทหารฝ่ายพันธมิตรมีอาวุธที่เหนือกว่าทั้งในด้านเทคโนโลยีและด้านอานุภาพในการทำลาย
เช่น นักบินพันธมิตรสามารถมองเห็นเป้าหมายในตอนกลางคืนได้โดยใช้กล้องระบบแสงอินฟราเรด
และสามารถถล่มอาคารกระทรวงกลาโหมทั้งหลังด้วยจรวดขขับนำแสงเลเซอร์ขนาด 1,000
ปอนด์ในช่วงกลางวันแสกๆ ประชาชนอิรัก สามารถมองเห็นจรวดโทมาฮอก ซึ่งถูกยิงจากเรือรบจอดอยู่ในอ่าวเปอร์เซียห่างออกไปหลายร้อยไมล็พุ่งข้ามศีรษะไปชนเป้าหมายอย่างแม่นยำ
จริงอยู่ข้อได้เปรียบทางอาวุธมีส่วนสำคัญต่อผลการรบ แต่สงครามสมัยนี้ ซึ่งเป็นสมัยที่ใครๆก็มีค่านิยมสูงต่อระบบประชาธิปไตย
มิติทางการเมืองกลายเป็นอาวุธที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งสามารถทำให้สงครามพลิกล๊อกได้หากไม่ระมัดระวัง
มิติทางการเมืองเริ่มจากเสียงของประชาชน ซึ่งบรรดาสื่อมวลชนสะท้อนให้ได้ยินได้เห็นอยู่ตลอดเวลา
ทางหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ ยิ่งสมัยนี้มีระบบดาวเทียมช่วยถ่ายภาพทอดแพร่ภาพและเสียงแบบสดหรือภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
การเดินแต้มทางทหารที่ไม่รอบคอบอาจก่อให้เกิดความรู้สึกทางอารมณ์แบบสะเทือนใจจากผู้คนทั่วโลก
และอาจทำให้พ่ายแพ้สงครามได้ง่ายๆ ดังเช่นกรณีเครื่องบินพันธมิตรทิ้งระเบิดหลุมหลบภัยทำให้ประชาชนล้มตามเป็นร้อย
ประชาชนหลายประเทศที่ทราบข่าวมีการเคลื่อนไหวไม่พอใจมาก ยังผลให้ผู้นำอย่างน้อย
2 ประเทศทำอะไรบางอย่าง ที่ไม่อยู่ในปกติวิสัยจะทำ
กล่าวคือ รัฐบานสเปนประกาศให้ทหารของตนในสมรภูมิตะวันออกกลางหยุดรบและกษัตริย์จอร์แดนทรงประณามฝ่ายพันธมิตรอย่างแรง
ทำให้มีความหวั่นวิตกว่าฝ่ายพันธมิตรอาจเริ่มแตกแยกกัน และจอร์แดนอาจโจนเข้าช่วยอิรักอย่างโจ่งแจ้ง
ที่น่าวิตกที่สุดก็คือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเริ่มเคลื่อนไหวพิจารณาประเด็นที่ว่า
ฝ่ายพันธมิตรกำลังทำเกินขอบเขตหรือไม่
จะเห็นได้ว่า สงครามสมัยนี้ ต้องมีทั้งอาวุธเก่งกาจ และการเดินแต้มทางการเมืองที่ชาญฉลาด
มิติทางการเมืองจะสำเร็จหรือไม่ประการใดย่อมขึ้นอยู่ ที่ข้อมูลเกี่ยวกับจิตภาพของผู้นำในแต่ละประเภท
ตลอดจนจิตภาพของประชากรในลักษณะที่เป็นภาพรวม
นอกจากนี้ข้อมูลจิตภาพยังนำไปใช้ในการวางแผนยุทธศาสตร์ในการรบได้อีกด้วย
สหรัฐฯมีจิตภาพของบรรดานายพลอีรักหลายคน เพราะนายพลเหล่านี้เคยไปศึกษาต่อในสหรัฐฯ
และจากการทำสงครามระหว่างอิรักกับอิหร่านมากว่า 8 ปี ลักษณะแนวคิดต่างๆ ในการรบของทั้ง
2 ประเทศ ถูกบันทึกไว้หมดสหรัฯจึงมีข้อมูลที่ทำให้สามารถทำนายได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ว่า
อิรักจะต่อสู้ป้องกันตนอย่างไร
พลเอก นอร์แมน ชวาต์ชคอฟ นายพล 4 ดาว แห่งสหรัฐฯ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของฝ่ายพันธมิตร
ได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งของสหรัฐฯว่าจุดอ่อนของซัดดัมอยู่ที่ท่านเป็นผู้ที่ถูกทำนายได้แม่นยำ
กล่าวคือ ซัดดัม จะคิดอะไรทำอะไร ฝ่ายพันธมิตรอ่านไต๋ได้หมด
ก่อนที่สหรัฐฯจะตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรดีกับการรุกรานของอิรักต่อประเทศคูเวต
ปรากฏว่ามีเสียงทัดทานได้ว่า หากใช้กำลังทหารเข้าแก้ไขอาจประสบความปราชัยและมีหลายเสียงแนะไว้ว่า
ควรรอให้มาตรการปิดล้อมทางเศรษฐกิจของสหประชาชาติบับรัดให้อิรักจำยอมถอนออกจากคูเวต
การใช้กำลังทหารอาจก่อให้เกิดการลุกฮือของชาวมุสลิมทั่วโลก ซึ่งอาจก่อให้เกิดวินาศกรรมในประเทศต่างๆ
เนื่องจากซัดดัมได้ประกาศตลอดเวลาว่าสงครามครั้งนี้เป็นสงครามทางศานา ระหว่างผู้เคร่งครัดกับผู้ทรยศต่อศาสนาอิสลาม
บางเสียงก็เกรงว่าประเทศอาหรับบางประเทศในกลุ่มพันธมิตรอาจแตกแยกในระหว่างสงครามทำให้พันธมิตรต้องรบกันเอง
เพราะซัดดัมข่มขู่ว่าจะโจมตีประเทศอิสราเอลทันทีที่ตนถูกฝ่ายพันธมิตรรุกราน
ที่น่าวิตกก็คือมีเสียงเตือนว่าทหารอิรักเชื่อกันว่า การสละชีพเพื่อศาสนาอิสลามจะทำให้ได้ไปสวรรค์เมื่อตายแล้ว
ซึ่งทำให้มองเห็นทหารอิรักประหนึ่งเป็นหน่วยกล้ายตายทั้งกองทัพ
แต่ในที่สุด สหรัฐฯก็ตัดสินใจร่วมกับพันธมิตรใช้กำลังทหารเข้าแก้ไขเหตุการณ์
เพราะเห็นชัดจากจิตภาพของผู้นำในประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจิตภาพของประชากรในแต่ละประเทศนั้นๆว่า
เป็นวิถีทางที่จะแก้ไขเหตุการณ์ได้ดีที่สุด เมื่อสงครามระเบิดขึ้นก็ไม่ปรากฏว่าชาวอิสลามได้ลุกฮือกันทั่วโลก
การแตกแยกในกลุ่มพันธมิตรโดยเหล่าทหารอาหรับก็ไม่มี และที่สำคัญที่สุดก็คือทหารอิรักยอมจำนนเป็นเชลยศึกหลายหมื่นคน
การสร้างจิตภาพนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางพฤติกรรมมนุษย์จะรวบรวมข้อมูลต่างๆ
ทางจิตวิทยาสังคมวิทยาโดยแบ่งข้อมูลเป็น 2 ระดับ คือระดับประชากรและระดับผู้นำส่วนบุคคล
สำหรับประชาการนั้น ข้อมูลที่เกี่ยวกับค่านิยม ทัศนคติ ตลอดจนกติกาทางสังคม
เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณี กฎหมายบ้านเมือง ฯลฯ ซึ่งเรียกรวมกันว่าวัฒนธรรมประจำชาติ
จะถูกรวบรวมจากเหตุการณ์ประจำวัน เช่น ภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่องใดมีคนดูมากที่สุด?
เพราะเหตุใด? มีสิ่งจูงใจอะไรที่บันดาลให้ประชาชนรีบกลับเข้าบ้านเปิดโทรทัศน์ดูภาพยนตร์เรื่องนั้น?
มีข่าวว่าที่กรุงไทเป ไต้หวัน เคยมีภายยนตร์โทรทัศน์ฮิตเรื่องหนึ่ง เมื่อถึงเวลาฉายตอนอวสาน
รถราบนถนนหายหมด แม้กระทั่งแท็กซี่ก็หาไม่ได้!
หนังสือพิมพ์ก็เป็นแหล่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นจิตภาพของประชากรได้มาก เช่น
ข่าวประเภทไหนที่ได้รับความสนใจจากผู้อ่านมากที่สุด? อาชญากรรมประเภทใดที่ได้รับความสนใจจากผู้อ่านมากที่สุด?
อาชญากรรมประเภทใดเกิดขึ้นบ่อย? ประชาชนมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อเหตุการณ์สำคัญ
อย่างเช่นการปฏิวัติรัฐประหารฯลฯ? สถาบันศาสนากำลังเป็นอย่างไร? มีอิทธิพลมากน้อยเพียงใดและอย่างไรต่อประชาชน?
นอกจากนี้วรรณคดีแห่งชาติมีอะไรบ้าง? มีสาระสำคัญอย่างไร?
ข้อมูลเหล่านี้แสวงหากันได้ไม่ยาก มีอยู่แม้กระทั่งในห้องสมุดรัฐสภาสหรัฐฯ
ซึ่งมีหนังสือภาษาไทยมากมายโดยเฉพาะจำพวกวรรณคดีและสารคดีไทย (ไม่มีนวนิยาย)
การสร้างจิตภาพระดับผู้นำส่วนบุคคลนั้น ข้อมูลทางวัฒนธรรมประจำชาติดังกล่าวจะต้องมีพื้นฐานสำหรับใช้ตีความเหตุการณ์ตามความเข้าใจของประชาชนในชาตินั้นๆ
แต่ข้อมูลที่ต้องใช้มากที่สุดในกรณีนี้ได้แก่ ข้อมูลทางจิตวิเคราะห์และจิตเวชศาสตร์
เพื่อกำหนดให้ชัดเจนลงไปว่า ใครจะมีแนวโน้มตอบสนองต่อเหตุการณ์หนึ่งได้อย่างไร
ในสหรัฐฯ ศาสตราจารย์ เจอร์รอลด์ โพสต์ผู้เชี่ยวชาญทางจิตเวชศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยจอร์ชวอชิงตัน
ได้ทำการประเมินจิตภาพของผู้นำประเทศต่างๆ มากกว่า 20 ปี และเป็นบุคคลสำคัญในการวินิจฉัยจิตภาพของซัดดัม
ในหลักวิชาการ การสร้างจิตภาพของผู้นำส่วนบุคคลมิใช่เรื่องง่าย เพราะต้องอาศัยข้อมูลมากมาย
ซึ่งจะต้องเป็นข้อมูลที่เป็นความจริง ไม่ถูกบิดเบือน โดยเฉพาะข้อมูลสมัยเยาว์วัย
ซึ่งในกรณีของซัดดัมนั้นหาได้ยากมาก ทั้งนี้ ทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นมาว่า
การประเมินจะผิดพลาดได้ง่าย
ปัญหาต่อไปก็คือ การวินิจฉัยจิตภาพของใครคนหนึ่ง โดยมองจากวัฒนธรรมหนึ่งที่มิใช่วัฒนธรรมของผู้รับการวินิจฉัยนั้น
เปรียบได้กับการพยายามอ่านหนังสือในภาษาหนึ่งที่ตนไม่มีความรู้ วิธีแก้ไขก็คือ
ผู้วินิจฉัยจะต้องศีกษาวัฒนธรรมนั้นจนกระทั่งมีความรู้ดีเหมือนตนรู้ภาษาแรกของตน
จึงจะเริ่มอ่านวัฒนธรรมของผู้รับการวินิจฉัยออกแล้วจึงเริ่มวินิจฉัยจิตภาพของบุคคลนั้นได้
แม้ว่าจะมีปัญหาอุปสรรคในการสร้างจิตภาพของระดับส่วนบุคคลอยู่มาก ดร.โพสต์ก็มิได้เลิกรา
ได้ทดลองวินิจฉัยจิตภาพของซัดดัมออกมา ซึ่งได้รับความสนใจอยู่พอควร
ดร.โพสต์ นำลักษณะ 4 ข้อ ซึ่งบ่งบอกลักษณะของจิตที่มีอยู่ในข่าย cMALIGNANT
NARCISSISMe แปลความได้ว่า "ลุ่มหลงตัวเองประเภทอันตรายร้ายแรง"
มาประยุกต์และพบว่าภาวะจิตของซัดดัมเข้าข่ายลักษณะ 4 ข้อทั้งหมด
ที่น่าคิดก็คือ ลักษณะ 4 ข้อนี้ เป็นมาตรวัดที่สร้างขึ้นโดยนักจิตวิเคราะห์อีกท่านหนึ่ง
คือ ดร.ออตโต เคอร์นเบิร์ค แห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนล สหรัฐฯ ผู้ปฏิเสธไม่ยอมทำการประเมินจิตภาพของซัดดัม
ลักษณะ 4 ข้อ ของจิตดังกล่าว มีดังนี้
1.มีความนึกคิดว่า ตนคือบุคคลที่มีความสำคัญอย่างใหญ่หลวง
2.มีจิตใจโหดเหี้ยม ชอบทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด
3.มีความแคลงใจสงสัยหวาดระแวงว่าตนจะถูกทำร้าย
4.ไม่มีความรู้สึกสำนึกผิดแม้แต่น้อย
หากการวิเคราะห์ของ ดร. เคอร์นเบอร์ค ใครก็ตามที่มีลักษณะจิตตาม 4 ข้อนี้
จะเป็นคนที่ หมกมุ่นอยู่แต่ตัวเองมากเสียจนมองเห็นผู้อื่นเป็นเพียงเครื่องมือหรือช่องทางสู่สิ่งที่ตนต้องการ
ดร.เคอร์นเบอร์ค ชี้แนะไว้ว่า "บุคคลเช่นนี้ ไม่สามารถหยั่งถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นแต่สามารถประเมินได้อย่างฉลาดเฉลียวว่าผู้อื่นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
และจะชักนำผู้อื่นโดยไม่คำนึงว่าผู้อื่นจะมีความรู้สึกอย่างไร"
ลักษณะจิตข้อแรกใน 4 ข้อดังกล่าวไม่เพียงแต่สำแดงออกมาให้เห็นถึงความทรนงเท่านั้น
แต่ยังเชื่อมั่นว่าตนมีชะตาชีวิตที่พิสดารกว่าใครๆ ซึ่งเมื่อผสมผสานเข้ากับความเชื่อมั่นอีกข้อว่า
การก้าวร้าวผู้อื่นเป็นเรื่องชอบ หากทำให้เป้าหมายของตนสัมฤทธิผล จิตข้อนี้จะกลายเป็นประเภทอันตรายร้ายแรงทันที
ดร.เดอร์เบอร์ค ชี้แจงต่อไปว่าคนที่ลุ่มหลงตัวเองประเภทอันตรายร้ายแรงนี้ในจิตในมีแต่ความคิดที่จะทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด
และมีความสุขอยู่กับความทุกข์ทรมานของผู้อื่น คนนี้เป็นคนขี้ระแวง มองเห็นตัวเองเป็นเหยื่อของแผนปองร้าย
มุ่งซัดทอดความโหดเหี้ยมของตนให้กับศัตรู ข้อที่อันตรายร้ายแรงข้อสุดท้ายได้แก่
การขาดความรู้สึกนึกผิด ในด้านศีลธรรม หรือความรู้สึกผิดชอบ ฉะนั้น บุคคลประเภทนี้จะโกหก
คดโกง เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอย่างไม่รู้สึกสำนึกผิด แม้ว่าตนจะจงรักภักดีต่อคนที่ตนต้องพึ่งพา
ดร.โพสต์ มองเห็นลักษณะจิตเหล่านี้ในตัวซัดดัมจากสุนทรพจน์ต่างๆ ซึ่งซัดดัมเสนอถึงการยอมรับนับถือกษัตริย์บาบิโลเนียนองค์หนึ่งทรงพระนามว่า
เนบูซัดเนซซาร์ ผู้ทรงยึดครองกรุงเยรูซาเล็มของชนชาติอิสราเอลเมื่อกว่า 2,400
ปีมาแล้ว และการเทิดทูน ซาลาดีนกษัตริย์ผู้ทรงยึดกรุงเยรูซาเล็มก็กลับคืนมาจากคริสต์ชนเมื่อราว
800 ปีมาแล้ว
ดร.โพสต์วิเคราะห์ไว้ว่า "ความหวาดระแวงของซัดดัมทำให้การก้าวร้าวผู้อื่นเป็นเรื่องชอบธรรม"
ในความเห็นของซัดดัม ประเทศคูเวตรุกรานทางเศรษฐกิจต่ออิรักก่อน การจู่โจมยึดคูเวตเป็นเรื่องป้องกันตนเองต่อสงครามที่คูเวตริเริ่มขึ้นก่อน
ซัดดัมเห็นแต่ว่าการก้าวร้าวของตนนั้น ศัตรูทำให้เป็นเรื่องชอบด้วยเหตุผล
มองไม่เห็นว่า ตนได้ก่อให้เกิดสถานการณ์อย่างไรขึ้นมา
ข้อวิเคราะห์ของดร.โพสต์ได้รับการวิจารณ์ว่า เป็นการวินิจฉัยข้างเดียว
กล่าวคือ ข้อมูลเดียวกันที่ดร.โพสต์ใช้นั้นสามารถตีความออกมาในทางตรงข้ามได้ข้อสำคัญ
ดร.โพสต์อาศัยหลักฐานที่มีอยู่เบาบางมาก
ตัวอย่างเช่นนักจิตวิเคราะห์เชื่อกันว่าอาการลุ่มหลงตัวประเภทร้ายกาจนี้
มักมีสาเหตุมาจากประสงการณ์ในวัยเด็กที่ได้รับความโหดเหี้ยมแบบสุดขีด ไม่ว่าจะได้รับโดยตรงหรือโดยอ้อม
ในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์
ในกรณีของซัดดัม การค้นหาสาเหตุข้อนี้ประสบปัญหา เพราะบรรดาผู้เขียนชีวประวัติของซัดดัมบรรยายถึงชีวิตวัยเด็กของซัดดัมไว้แตกต่างกันจนไม่สามารถกล่าวได้อย่างแน่ใจว่า
ซัดดัมในวัยเด็กเคยถูกเฆี่ยนตีทารุณกรรมบ่อยๆ หรือไม่
แต่ที่ทราบกันแน่ๆ ก็คือ บิดาของซัดดัมถึงแก่กรรมในระยะเดียวกับที่ซัดดัมถือกำเนิดต่อมา
มารดาสมรสกับพี่น้องคนหนึ่งของบิดา และมีเรื่องเล่ากันว่พ่อเลี้ยงของซัดดัมเป็นผู้ทำทารุณกรรมซัดดัมแต่เยาว์วัย
เรื่องที่รู้กันทั่วไปเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของซัดดัมได้แก่ ตอนอายุ
10 ขวบ วันหนึ่งญาติอายุไล่เลี่ยกันคนหนึ่งมาเที่ยวที่บ้าน ซัดดัมเกิดความประทับใจมากที่ญาติคนนี้สามารถ
อ่านหนังสือออก จึงขอพ่อเลี้ยงและมารดาส่งตนเข้าเรียน หนังสือบ้างแต่กลับได้รับการปฏิเสธ
คืนนั้น ซัดดัมแอบหนีพ่อเลี้ยงและมารดาไปอยู่กับลุง ผู้รับผิดชอบส่งเสียให้ได้เรียนหนังสือ
ลุงผู้นี้ต่อมาได้เป็นผู้ว่าการกรุงแบกแดด นครหลวงของอิรัก และเป็นผู้ปลูกฝังโลกทัศน์ต่างๆ
ให้ซัดดัมจนเติบใหญ่
เรื่องดังกล่าวนี้ สามารถตีความได้หลายทางต่างๆนานา และยังมีผุ้เชี่ยวชาญท่านอื่นที่ไม่เห็นด้วยกับการวินิจฉัยผู้มีอำนาจอย่างซัดดัม
ดร.จอห์น แมค จิตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ กล่าวว่า
เมื่อใครคนหนึ่งมีอำนาจมหาศาลอยู่ในมือเขาสามารถแปรเปลี่ยนตนให้ผิดแปลกไปจากข้อวินิจฉัยทางวิชาการได้
"เราจะต้องพยายามตีความพฤติกรรมตามอุดมการณ์ วัฒนธรรม และโลกทัศน์ของเขา
ตลอดจนต้องคำนึงความสามารถอย่างหนึ่งที่คนทั่วไปไม่มี นั่นคือ ความสามารถในการเปลี่ยนแนวทางของเหตุการณ์
ซึ่งบุคคลผู้นี้มีอยู่ในมือ"
อย่างไรก็ตาม ดร.วิเลียม แมคคินลีรันยันนักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
เมืองเอบร์คลีย์ กล่าวสรุปไว้ว่า การจะวินิจฉัยให้รอบคอบนั้น เราจำต้องมีรายละเอียดมากมายเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กและวัยต่อมาของซัดดัม
ซึ่งเรายังไม่มี แม้ว่าจะมีเพียงประปรายการวินิจฉัยจิตภาพก็ยังน่าทำอยู่ดี
เพราะการมีจิตภาพของผู้นำระดับซัดดัม แม้นจะยังไม่สมบูรณ์นัก ก็ยังจะช่วยทำให้มองเห็นวิธีที่มีชั้นเชิงสำหรับสื่อสารกับซัดดัม
ถ้าเรารู้ว่าคนลุ่มหลงประเภทร้ายกาจ เทิดทูนแต่อำนาจและความแข็งแกร่ง มองเห็นมิตรภาพหรือความประนีประนอมเป็นความอ่อนแอ
เราจะมองเห็นจุดอันตรายที่แฝงอยู่ในบุคคลนี้ ซึ่งได้แก่จุดบอดที่มองไม่เห็นอันตรายที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
ทั้งนี้เพราะความลุ่มหลงในความสำคัญอันยิ่งใหญ่ของตน อาจทำให้เจ้าตัวรู้สึกว่า
ตนไม่มีวันต้องตกอยู่ในเคราะห์กรรมใดๆ
แม้กระนั้นก็ตามจิตภาพที่สร้างขึ้นมาก็ยังมีขอบเขตจำกัดในการทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า
ดร.โพสต์ เคยกล่าวทำนายไว้ว่า ซัดดัมจะถอนทหารออกจากคูเวตก่อนวันเส้นตายที่สหประชาชาติกำหนดไว้
แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ซึ่ง ดร.โพสต์ ชี้แจงว่า "จิตภาพเป็นเพียงรูปแบบและแนวโน้ม
เราพูดได้ว่าใครได้ทำอะไรในอดีต แต่เราจะอาศัยข้อมูลจากบุคลิกภาพอย่างเดียวในการทำนายเรื่องยากๆ
ไม่ได้"
นอสตราดามุสซึ่งเป็นนักโหราศาสตร์และหมดเมื่อราว 400 ปี ก่อนในยุโรปได้ทำนายไว้ว่า
สงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นในย่านตะวันออกกลาง ถ้าสงครามระหว่างอิรักกับกลุ่มประเทศพันธมิตรเมื่อเร็วๆนี้
คือสงครามโลกดังคำทำนาย ก็นับว่าเป็นสงครามโลกที่คร่าชีวิตมนุษย์น้อยกว่าสงครามโลกครั้งก่อนๆ
แต่ประเด็นสำคัญในที่นี้ คือ แม้ว่าจะมองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้ แต่ถ้าไม่มีใครสามารถป้องกันเหตุการณ์นั้นได้
การทำนายจะมีประโยชน์อันใด? ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราทำนายได้จากจิตภาพของซัดดัมว่าท่านจะทำอะไรต่อเหตุการณ์ใดแต่ไม่มีใครเปลี่ยนใจท่านได้
การทำนายนั้นจะมีประโยชน์อันใด?
ฉะนั้น เราต้องหันมาทำการป้องกัน ด้วยวิธีที่กอปรด้วยมนุษยธรรม โดยหันมาเน้นการฝึกฝนชนรุ่นต่อไปแต่เยาว์วัย
ให้มีความสามารถและต้องการที่จะเสริมเสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพื่อสร้างสรรค์สันติสุขให้เกิดขึ้น
ในโลกนี้ มีหลายศาสนาที่มุ่งฝึกฝนให้คนเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่มักจะมีการเน้นความสัมพันธ์ระวห่างคนกับพระเจ้าผู้มีอำนาจสร้างโลกและจักรวาลทำให้มีจุดอ่อนในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนในโลกนี้
คำถามที่น่าคิดก็คือ เรามีบุคคลแบบซัดดัมในองค์การธุรกิจหรือไม่?
มีแน่นอนทั้งในระดับผู้บริหารที่มีอำนาจและพนักงานทั่วไป
ถ้ามีในระดับผู้บริหาร กิจการจะเป็นอย่างไร? ในระยะสั้น กิจการนั้นอาจไปได้ดี
แต่ในระยะยาวกิจการนั้นอาจต้องสู้ศึกใหญ่ ทั้งศึกนอกและศึกใน ดังเช่นที่อิรักกำลังประสบอยู่
วิธีแก้ไขอยู่ที่มาตรการป้องกัน ด้วยการสร้างค่านิยมในบรรยากาศการบริหารที่เน้นการทำงานอย่างเป็นหมู่คณะสื่อสารกันด้วยเหตุผล
และมีเมตตาจิตต่อกัน การบริหารก็จะประสบผลดี