Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน24 กรกฎาคม 2550
ปตท.ไฟเขียวควบรวมATC-RRC             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

   
search resources

ปตท., บมจ.
ประเสริฐ บุญสัมพันธ์
Energy




บอร์ด "ปตท." ไฟเขียวควบรวมกิจการ "ATC-RRC" ตั้งเป็นบริษัทแห่งใหม่ หวังเสริมศักยภาพความแข็งแกร่ง ลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ เพื่อแข็งขันในระดับโลก พร้อมเปิดทางผู้คัดค้านการรวมกิจการขายหุ้น ATC - RRC คืนให้กับปตท. หุ้นละ 65 บาท และ 22 บาท ขณะที่ราคาบนกระดานวิ่งแซงไปที่ 71 บาท และ 24.30 บาทแล้ว ด้านผู้บริหาร "อะโรเมติกส์ฯ" เผยเพิ่มประโยชน์ร่วมกันอีก 169-348 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการสนับสนุนการควบรวมกิจการบริษัทย่อย 2 แห่งเข้าด้วยกัน คือ บริษัท อะโรเมติกส์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ATC และบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด (มหาชน) หรือ RRC เพื่อจัดตั้งเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแห่งใหม่ ภายใต้พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535

พร้อมกันนี้ บริษัทได้อนุมัติให้ปตท.รับซื้อหุ้น ATC และ RRC จากผู้ถือหุ้นเดิมที่คัดค้านการควบรวมกิจการในครั้งนี้ โดยได้รับการผ่อนผันจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งปตท.จะรับซื้อหุ้น ATC ในราคาไม่เกินหุ้นละ 65 บาท และ RRC หุ้นละ 22 บาท ระหว่างวันที่ 26 กันยายน - 9 ตุลาคม 2550 แต่ปตท.ขอสงวนสิทธิที่จะเพิกถอนหรือยกเลิกในการรับซื้อหุ้นดังกล่าวหากผู้ถือหุ้นต้องการเสนอขายในราคาที่สูงกว่าที่กำหนดไว้

สำหรับรายละเอียดและขั้นตอนการดำเนินการนั้น บริษัทได้กำหนดอัตราส่วนการแลกหุ้นของบริษัทแห่งใหม่กับ ATC และ RRC ในอัตราส่วน 1 หุ้น ต่อ 1.524428135 หุ้น และ 0.516755300 หุ้นในบริษัทใหม่ตามลำดับ โดยคาดจะสามารถดำเนินควบกิจการแล้วเสร็จภายในปลายปี 2550 นี้ และจะสามารถนำบริษัทใหม่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในต้นปี 2551

โดยบริษัททั้ง 2 แห่ง ได้แต่งให้ให้บริษัท ทรีนีตี้ แอ๊ดไวซอรี่ (2001) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อให้ความเห็นแก่ผู้ถือหุ้นในการพิจารณาลงมติเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อย

"การรับซื้อหุ้น ATC และ RRC ดังกล่าว อาจส่งผลให้ปตท. ถือหุ้นทั้ง 2 บริษัทเกินกว่าร้อยละ 50 อันอาจพิจารณาได้ว่าเป็นการซื้อหรือรับโอนกิจการของบริษัทอื่นตามมาตรา 107 แห่งพ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 และข้อบังคับของปตท. ดังนั้นคณะกรรมการ ปตท. จึงได้มีมติให้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป"

ทั้งนี้ ปตท.และทั้ง 2 บริษัท ได้กำหนดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2550 ในวันที่ 13 กันยายน 2550 เวลา 9.30 น. เพื่อขออนุมัติเรื่องดังกล่าว และปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อใช้สิทธิในการเข้าร่วมประชุมตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2550 เป็นต้นไป

ภายหลังการควบรวมกิจการแล้วบริษัทใหม่จะมีทุนจดทะเบียนรวม 29,938,490,130 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 2,993,849,013 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (ราคาพาร์) หุ้นละ 10 บาท ซึ่งเรียกชำระแล้ว 2,963,626,132 หุ้น และจำนวนหุ้นที่ยังไม่ได้เรียกชำระที่จัดสรรไว้รองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญอีก 30,222,881 หุ้น ซึ่งจะครบกำหนดการใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 23 พฤศจิกายน 2550

สำหรับวัตถุประสงค์ของการควบรวมกิจการครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายการปรับโครงสร้างธุรกิจกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่นของปตท. ด้วยการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทที่มีลักษณะการดำเนินธุรกิจที่มีความต่อเนื่องกันหรือมีผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกันเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดความแข็งแกร่ง เสริมสร้างความได้เปรียบทางด้านต้นทุน เพิ่มมูลค่า ต่อยอดให้กับธุรกิจของบริษัท

ภายหลังการควบรวมและโครงการขยายกำลังการผลิตที่แต่ละบริษัทมีแผนงานอยู่แล้วเสร็จ จะเกิดโรงกลั่นแบบ Integrated Refinery ที่มีกำลังการกลั่นสูงที่สุดในประเทศไทยที่ระดับ 280,000 บาร์เรล/วัน และมีกำลังการผลิตอะโรเมติกส์ 2.2 ล้านตัน/ปี รวมทั้งยังเพิ่มความหลากหลายของรายได้ สร้างความแข็งแกร่งให้บริษัท และลดความเสี่ยงจากธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีที่มีวัฏจักร (Cycle) ในช่วงเวลาที่ต่างกัน

"เมื่อรวมกันแล้วบริษัทใหม่จะมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น คือ มีสินทรัพย์รวมประมาณ 114,097 ล้านบาท และ 119,039 ล้านบาท กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) 16,494 ล้านบาท และ 5,792 ล้านบาท ณ 31 ธันวาคม 2549 และ 31 มีนาคม 2550 ตามลำดับ ขณะเดียวกันภาระหนี้สินอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้มีศักยภาพพอเพียงสำหรับการจัดหาเงินกู้เพิ่มเติมเพื่อการลงทุนขยายธุรกิจในอนาคต"

นอกจากนี้ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมยังเพิ่มเป็น 129,846 ล้านบาท (คำนวณจากราคาปิด 19 ก.ค. 50) หรือเป็นอันดับ 13 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำให้เกิดเสถียรภาพทางด้านราคาและทำให้หุ้นบริษัทใหม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นได้อีกทางหนึ่ง

นายเพิ่มศักดิ์ ชีวาวัฒนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย ) จำกัด (มหาชน) หรือ ATC กล่าวว่า การควบรวม ATC และ RRC จะสร้างประโยชน์ (Synergy) ร่วมกันได้อีก 169-348 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมประมาณ 365 ล้านดอลลาร์สหรัฐในหลายโปรเจ็กต์ อาทิ การต่อท่อเชื่อมระหว่างโรงอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 เพื่อนำไฮโดรเจนที่ได้จากโรงงานป้อนให้โรงงานของอาร์อาร์ซี แทนที่จะต้องผลิตเองที่ใช้ก๊าซฯเป็นเชื้อเพลิง ทำให้ต้นทุนไฮโดรเจนถูกลง การลงทุนปรับเปลี่ยนตัวแคตตาลิสในหอกลั่นของอาร์อาร์ซีเพื่อให้ได้Yield Arometic เพิ่มขึ้น เป็นต้น

ส่วนกรณีหากมีรายย่อยคัดค้านการควบรวมกิจการนั้น นายเพิ่มศักดิ์ กล่าวว่า อยากให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยมองภาพรวมของบริษัทใหม่ที่จะตั้งขึ้นมากกว่า เพราะหลังจากการควบรวมทั้ง 2 บริษัทแล้วผลการดำเนินงานของบริษัทใหม่จะดีขึ้น เช่นเดียวกันการควบรวมกิจการของบริษัท ปตท.เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTCH

ด้านนายมงคล พ่วงเภตรา เจ้าหน้าที่วิเคราะห์อาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) แอ็คคินซัน กล่าวว่า การควบรวมของทั้ง 2 บริษัท น่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่กิจการได้เป็นอย่างมาก โดยผลบวกที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน คือ หลังจากการควบรวมน่าจะส่งผลให้งบการเงินของทั้ง 2 บริษัทมีเสถียรภาพมากขึ้น ขณะที่การบริหารการผลิตจะทำให้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น เพราะวัตถุดิบในการดำเนินกิจการของทั้ง 2 บริษัทใกล้เคียงกัน

"บริษัทใหม่ที่จะมีการจัดตั้งขึ้นนั้น จากการประเมินน่าจะมีค่าเฉลี่ยในการเข้าจดทะเบียนประมาณ 46 บาท แต่ในส่วนของมูลค่าจริงของกิจการ อาจจะสูงกว่าที่ประเมินได้"

แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า อัตราการแลกเปลี่ยนหุ้น ATC และ RRC กับบริษัทใหม่มีความยุติธรรมแล้ว ขณะที่ราคารับซื้อจากผู้ถือเดิมที่คัดค้านการควบรวมที่หุ้นละ 65 บาท และ 22 บาทนั้นต่ำกว่าราคาบนกระดานหลักทรัพย์ ดังนั้นหากนักลงทุนต้องการขายต้องตัดสินใจขายในตลาดมากกว่า

"การควบรวมกิจการน่าจะทำให้เกิดการผลิตให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง แต่ระยะที่ผ่านมา หุ้นทั้ง 2 บริษัท ราคาค่อนข้างจะปรับตัวขึ้นสูง ทำให้นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน โดยแนะนำให้ "เก็งกำไร" ราคาประเมินที่เหมาะสมอยู่ที่ 80 บาท และ 27 บาท ตามลำดับ"

กำไร6เดือนกว่า 5.6 พันล้านบาท

ด้านนายเพิ่มศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมถึง ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2550 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 3,098.89 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.19 บาท เทียบกับปีก่อนกำไรสุทธิ 1,088.01 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.12 บาท ขณะที่งวด 6 เดือนกำไรสุทธิรวม 5,623.15 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 5.79 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่กำไรสุทธิ 1,436.93 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.48 บาท

ขณะที่ผลการดำเนินงานรวมบริษัทย่อยตามวิธีส่วนได้เสีย กำไรสุทธิ 3,122.96 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.21 บาท เทียบกับปีก่อนกำไรสุทธิ 1,100.82 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.14 บาท และงวด 6 เดือนกำไรสุทธิ 5,660.94 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 5.83 บาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่กำไรสุทธิ 1,453.87 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.50 บาท

สำหรับผลต่างของกำไรสุทธิไตรมาส 2/50 ระหว่างงบการเงินที่แสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียและงบการเงินเฉพาะกิจการเกิดจากจากเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกบัญชีเงินลงทุนในบริษัทร่วมในงบการเงินเฉพาะกิจการ โดยกำไรสุทธิในงบการเงินที่แสดงเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียได้รวมผลการดำเนินงานของบริษัทร่วมตามสัดส่วนการถือหุ้น ขณะที่กำไรสุทธิในงบการเงินเฉพาะกิจการจะรับรู้เฉพาะผลการดำเนินงานของบริษัท และรับรู้รายได้จากเงินลงทุนในบริษัทร่วมต่อเมื่อบริษัทได้รับเงินปันผลจากบริษัทร่วมเท่านั้น

ขณะที่กำไรสุทธิตามงบการเงินตามวิธีส่วนได้เสียในไตรมาส 2 ปี 2550 เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,011 ล้านบาท หรือ 185% และมี EBITDA 3,489 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,990 ล้านบาท หรือ 133% สาเหตุหลักเกิดจากส่วนต่างมูลค่าผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบ (Product to Feed Margin) ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็น 207 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จากปีก่อนอยู่ที่ 118 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นรวม 1,891 ล้านบาท หรือ 80% ส่วนต้นทุนการผลิต (Processing Cost) ลดลงจากไตรมาส 2 ปีก่อน 40 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us