วิจิตร สุพินิจ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ เป็นคนหนุ่มไฟแรงมีความคิดอ่านหลักแหลมทันสมัย
หลังจากดำเนินมาตรการผ่อนคลายการปริวรรตเงินตราที่เกิดจากธุรกรรมทางการค้าและการลงทุนแล้ว
เขาก็ได้ริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับการส่งเสริมเปิดทางให้ตลาดการเงินภายในประเทศมีการแข่งขันมากขึ้น
การปลดเปลื้องข้อจำกัดต่างๆ ทางแนวคิด กฏหมายระเบียบข้อบังคับที่ควบคุมธุรกิจการเงินกำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็วเพื่อให้บรรลุเป้าหมายบังคับใช้ให้ทันในสมัยรัฐบาลชุดนี้
"การขยายบทบาทการประกอบธุรกิจการเงินของสถาบันการเงินกำลังอยู่บนหนทางการสร้างสรรค์ระบบตลาด
ที่ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง หลังจากการผ่อนคลายการปริวรรตไปแล้ว"
แบงเกอร์จากสถาบันการเงินต่างประเทศชื่อดังให้ความเห็นจากข่าวการเงินชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในเดือนพฤษภาคม
ที่ระบุว่าแบงก์ชาติกับกระทรวงการคลังและตลาดหลักทรัพย์ฯกำลังทำงานอย่างรีบเร่ง
เพื่อที่จะเข็นกฏหมายตราสารการเงินออกมาให้สำเร็จในปีนี้
ว่ากันตามจริงแล้ว แบงก์ชาติในยุคของวิจิตรต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงินโลกที่สืบเนื่องมาจากการพลวัตรอย่างรวดเร็วทางการค้า
และการลงทุนของตลาดโลกในแถบทวีปยุโรปและความล้มเหลวของแกตต์ในรอบอุรุกวัย
ประเทศมหาอำนาจในแกตต์กำลังกดดันให้ไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆที่สำคัญเปิดตลาดธุรกิจการเงินให้กว้างขึ้น
เพิ่มเหิดทางให้กับสถาบันการเงินของประเทศของเขาที่จะเข้ามาทำมาหากินในไทยและภูมิภาคนี้
"เราคงซื้อเวลาได้อีชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น ก่อนที่เราจะต้องยอมเปิดตลาดให้เขากว้างขึ้น"
เจ้าหน้าที่ระดับบริหารของแบงก์ชาติพูดถึงเหตุผลสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงินที่เน้นการแข่งขัน
เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้สถาบันการเงินในประเทศของวิจิตร
มองในภาพที่ใหญ่ขึ้นมาอีกระดับประเทศ การเติบโตทางภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวจากการดำเนินมาตรการอัตราแลกเปลี่ยนที่ถูกต้องของวิจัตรในระยะที่ผ่านมา
ทำให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่แบงก์ชาติดูแลอยู่พอกพูนสูงขึ้นถึงประมาณเกือบ
16 พันล้านดอลลาร์
มันเป็นเครื่องชี้ถึงสถานะทางความมั่นคงของชาติระดับชั้นนำในภูมิภาคนี้
และเมื่อมองย้อนกลับในประเด็นของความมั่นคงทางเศรษฐกิจแล้วก็สามารถเปรียบเทียบได้กับความสามารถในการนำเข้าได้ถึง
5 เดือนกว่าๆ ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์
"ขนาดเงินทุนสำรองของเราเมื่อเทียบกับสิงคโปร์พอผัดพอเหวี่ยงกัน"
เจ้าหน้าที่บริหารทุนสำรองแบงก์ชาติพูดกับ "ผู้จัดการ"
มันเป็นการเติบโตของไทยที่น่าพิศวง ทั้งที่สิงคโปร์ตกอยู่สถานะของการเป็นศูนย์กลางการเงินและการค้าที่สำคัญที่สุดของโลกแห่งหนึ่งและสำคัญที่สุดของภูมิภาคนี้
ขณะที่ไทยยังเป็นเพียงแค่ตลาดที่เพิ่งจะเกิดเท่านั้น
การอยู่ในสถานะของการเป็นศูนย์กลางการเงินของโลกในภูมิภาคอาเซียนทำให้สิงคโปร์
สามารถก้าวหน้ากว่าประเทศไทยในการบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศ
"เขาให้หน่วยงานที่ชื่อว่า THE MONETARY AUTHORITY OF SINGAPORE หรือเรียกย่อๆ
ว่า MAS เป็นผู้บริหาร ซึ่งพูดได้ว่ากล้าได้กล้าเสียและเชี่ยวชาญกว่าเรามาก"
ผู้บริหารระดับสูงในแบงก์ชาติกล่าว
ขอบเขตการบริหารเงินทุนสำรองของสิงคโปร์มีขอบเขตการลงทุนที่กว้างขวางกว่าไทยมาก
"ที่เห็นได้ชัด เขาสามารถเอาเงินทุนสำรองส่วนหนึ่งลงทุนหาผลประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์ได้"
มองในจุดนี้ กฎหมายการบริหารทุนสำรองของไทยที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าเน้นความมั่นคงมากกว่าผลตอบแทน
ทั้งนี้เนื่องจากในอดีตทุนสำรองมีน้อยมาก
เมื่อทุนสำรองฟื้นตัวสู่ความมั่งคั่งขึ้น แนวการบริหารทุนสำรองของไทยยุควิจิตร
ก็เริ่มก้าวหน้าขึ้น "แต่เราก็คงจำกัดตัวเองอยู่ที่เน้นความมั่นคงเป็นหลักสำคัญสูงสุด
ส่วนผลตอบแทนเป็นอันดับรองลงมา" ผู้บริหารทุนสำรองท่านหนึ่งของแบงก์ชาติพูดถึงนโยบายบริหารทุนสำรองของวิจิตร
แนวการบริหารทุนสำรองจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน หนึ่ง พอร์ตส่วนหนึ่งจะอยู่ในการดูแลของ
นพมาศ มโนลีหกุล ผู้จัดการสำนักงานแบงก์ชาติสาขานิวยอร์ก สอง อีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นพอร์ตที่ใหญ่ที่สุดส่วนบริหารทุนสำรองที่กรุงเทพซึ่งมี
ธนศักดิ์ จันทโรวาสเป็นหัวหน้าดำเนินการภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของคณะกรรมการบริหารทุนสำตองที่มีวิจิตรและรองผู้ว่าการเป็นกรรมการ
สาม ทุนสำรองส่วนที่เหลือจากพอร์ตสองส่วนข้างต้นซึ่งยังไม่มีใครรู้ว่ามีจำนวนเท่าไร
ว่าจ้างให้บริษัทรับจัดการลงทุนเอกชนต่างประเทศที่มีชื่อเสียง และความเชี่ยวชาญในการบริหารระดับโลกเป็นผู้ดำเนินการ
การว่าจ้างให้บริษัทเอกชนชั้นนำของโลกมาบริหารทุนสำรองครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย
ที่แสดงถึงความกล้าหาญของวิจิตรมากๆ
เวลานี้ มีประมาณ 20 บริษัทเสนอตัวเข้ามาให้แบงก์ชาติพิจารณา แต่ละบริษัทมีความเชี่ยวชาญเป็นที่ยอมรับในตลาดการเงินของโลกทั้งนั้น
และมีพอร์ตที่อยู่ในความรับผิดชอบบริษัทละกว่า 20 พันล้านดอลลาร์ทั้งนั้น
"เราใช้วิธีเปิดกว้างให้แต่ละรายเสนอข้อเสนอประเด็นเรื่องการให้ผลตอบแทนอย่างมีหลักประกัน
วิธีการบริหารลงทุน และการฝึกอบรมถ่ายทอดเทคนิคใหม่ๆ ในการบริหารลงทุนให้เจ้าหน้าที่เรา"
ผู้บริหารระดับสูงของแบงก์ชาติเล่าให้ฟัง
ข้อผูกพันในการว่าจ้างนี้เป็นปีต่อปี ถ้าได้ผลดีก็อาจเพิ่มวงเงินทุนสำรองให้บริหารมากขึ้นเรื่อยๆ
กลุ่มบริษัทเป้าหมายที่แบงก์ชาติต้องการเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในตลาดเงินนิวยอร์กและยุโรป
แบงก์ชาติจะทำการคัดเลือกรอบแรกเหลือแค่ 8 บริษัท และรอบสุดท้ายเหลือแค่
3 ก่อน ที่จะตัดสิน "เราต้องการ 2 บริษัทเพื่อให้มีการแข่งขันกันและเราจะได้สามารถเปรียบเทียบฝีมือกันได้"
ยังไม่มีใครรู้ว่าบริษัทไหนจะโชคดีได้รับการคัดเลือก เนื่องจากทุกบริษัทที่แบงก์ชาติเชื้อเชิญมาก็ล้วนแต่เป็นบริษัทรับจัดการลงทุนที่มีชื่อเสียง
มีความเชี่ยวชาญลงทุนในตลาดการเงินสำคัญๆ ของโลก
บริษัทที่ได้รับเชิญ 20 รายที่ว่า เท่าที่ "ผู้จัดการ" สืบค้นมาแบ่งออกเป็น
2 กลุ่มใหญ่ๆ กลุ่มแรกเป็นบริษัทอเมริกัน และกลุ่มที่สองเป็นบริษัทยุโรป
บริษัทอเมริกันก็ได้แก่ บริษัทรับจัดการลงทุนฟิเดลริตี้ ซิตี้คอร์ป เชส
เจ.พี มอร์แกน มอร์แกน สแตนเล่ย์ และแฮรี่แมนแอนด์โค
กลุ่มยุโรป ได้แก่ ลอยด์ บาร์เคย์ ชิมิต้า แบริ่ง ชโรเดอร์ วอร์ดเล่ย์
เมอคิวรี้ ธอร์นตัน ฮิลแซมมวช พคเต็ทแอนด์ซียูเนียนแบงก์ออฟสวิตเซอร์แลนด์
พาริบาส เอ็นเอ็มล้อทไชล์ และการ์ตมอร์