Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มิถุนายน 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ มิถุนายน 2534
ติดลม 3,500 ล้านบาท ขายธนาคารสยาม             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารกรุงไทย

   
search resources

ธนาคารกรุงไทย
ธนาคารสยาม
Banking and Finance




เกือบ 4 ปี แล้วที่กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยสั่งให้รวมเอาธนาคารสยามเข้ากับธนาคารกรุงไทย โดยฝ่ายหลังรับเอาทรัพย์สินอาคารสถานที่ อุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือ และลูกค้าทั้งเงินฝาก และสินเชื่อดีๆ ไป คงทิ้งไว้แต่เครื่องพิมพ์ดีด โต๊ะ เก้าอี้ และพรมปูพื้นที่เก่าคร่ำคร่า ขาดกะรุ่งกะริ่ง ให้เป็นอนุสรณ์และที่ทำการเริ่งรัดติดตามหนี้สินที่ยังคั่งค้างอยู่ถึง 7,600 ล้านบาท

จนวันนี้คนคงจะลืมไปแล้วว่า ยังมีธนาคารสยามอยู่!!

ถ้าเมื่อไม่นานมานี้ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเคยเป็นกรรมการแบงก์สยามคนหนึ่งในยุคที่ยึดมาจากจอห์นี่ มาร์ ใหม่ๆ ได้ให้สัมภาษณ์ว่าจะขายธนาคารสยามให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ ซึ่งระหว่างนี้กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้และเงื่อนไขต่างๆ ที่จะกำหนดกันออกมา

ธนาคารสยามเปลี่ยนชื่อมาจากธนาคารเอเชียทรัสต์ของกลุ่ม จอห์นนี่ มาร์ หรือ พัลลภ ธารวณิชกุล เจ้าของธุรกิจทีวีสีช่อง 3 ในนามบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเมนท์ หมู่บ้านทิพวัลย์ และอีกมากมายเมื่อปลายปี 2527 แระสบปัญหาสภาพคล่องจนทางการ คือ กระทรวงการคลังและแบงก์ชาติเข้าไปยึดเอามาฟื้นฟูและเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "ธนาคารสยาม" ให้ดูดีขึ้น

แต่ก็ไม่อาจแก้ปัญหาได้สำเร็จ หนี้เสียกว่า 8,000 ล้านบาทกำลังอยู่ในระหว่างการเร่งรัดติดตามกันอย่างขนานใหญ่ทั้งเป็นลูกหนี้ที่มีตัวตนและไม่มีตัวตน ทั้งลูกหนี้ที่เป็นลูกค้าทั่วไปและลูกหนี้ที่ให้กู้กันเองในระหว่างบริษัทในเครือและญาติพี่น้องของกลุ่มผู้บริหารเก่า ซึ่งกลุ่มผู้บริหารใหม่ที่ถูกส่งเข้าไปฟื้นฟูกำลังดำเนินการทางกฏหมายอย่างเข้มงวดกับจอห์นนี้มาร์ทั้งทางแพ่งและทางอาญา โดยให้สำนักงานกฏหมาย สนอง ตู้จินดา และสำนักงานกฏหมาย ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน เป็นผู้ดำเนินการ

เกษม จาติกวนิช ประธานคณะกรรมการและกรรมการบริหารที่ทางการส่งเข้าไปฟื้นฟูมีผลไปในทางที่ดีขึ้น หมายความว่า หนี้ที่มีปัญหาได้ใช้ทั้งวิธีการเร่งรัดติดตาม และการฟื้นฟูตามวิธีทางการค้าให้เป็นลูกหนี้ที่กลับมาเดินบัญชีกันใหม่ได้รวมกันกว่า 2,000 ล้านบาท หากได้รับการสนับสนุนทางด้านเงินทุนและเงินกู้ในอัตราพิเศษจากทางการอีกพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับที่เคยทุ่มไปแล้ว 4,000 กว่าล้านบาท เขาเชื่อว่าฐานะของธนาคารแห่งนี้จะดีขึ้นโดยเร็วและจะสามารถจ่างยเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นภายในไม่เกิน 3 ปี

แต่นโยบายของทางการกลับลำแบบสายฟ้าแลบเมื่อกลางปี 2530 สั่งให้ธนาคารกรุงไทยรับโอนเอาเงินฝากและสินเชื่อในส่วนที่ไม่มีปัญหาไปดำเนินการรวมทั้งสำนักงานสาขา อาคาร สถานที่ และพนักงานไป เป็นของกรุงไทย และสั่งให้ธนาคารสยามหยุดดำเนินธุรกิจธนาคารตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2530 เป็นต้นไป

คดีที่ยื่นฟ้องเจ้าของเดิมไว้ไม่เห็นทีท่าว่าจะนบลงง่ายๆ เพราะพยานบุคคลที่เคยแสดงตัวอย่างแข็งขันที่จะเข้ามาช่วยทางการในตอนแรกต่างก็หัวหดไปตามๆ กันเมื่อทางการกลับนโยบาย

นับแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2530 เป็นต้นมาธนาคารสยามคงเหลือแต่ภาระหนี้ที่มีปัญหาให้ติดตามทวงถามกันเองต่อไปตามลำพัง โดยให้ยืมพนักงานไว้ใช้ก่อนประมาณ 30 คน และให้เช่าใช้สถานที่บนชั้น 5-6 ของอาคารเดิมเป็นที่ดำเนินการจนถึงปัจจุบัน

พนักงานส่วนใหญ่ยินยอมเข้าทำงานเป็นลูกจ้างของธนาคารกรุงไทยผู้รับโอนต่อไป แต่เจ้าหน้าที่ระดับบริหารผู้อำนวยการฝ่ายขึ้นไปที่ เกษม จาติกวณิช ประธานกรรมการ วารีห์ หะวานนท์ กรรมการรองกรรมการผู้อำนวยการดึงเข้ามาร่วมทีมงานในการฟื้นฟูธนาคารในยุคนั้นต่างก็ไม่ยอมเข้าทำงานกับกรุงไทย แต่ละคนได้กระจัดกระจายกันออกไปหางานใหม่ทำประมาณ 40 คน

คงเหลือเจ้าหน้าที่ระดับบริหารเพียง 2 คนที่ยังอาสาอยู่กับธนาคารสยามเพื่อติดตามเร่งรัดหนี้สินต่อไป คือ วัฒน์ ผดุงจิต ผู้จัดการฝ่ายกฏหมาย กับพีรพงศ์ สาคริก เลขานุการคณะกรรมการ ซึ่งปัจจุบันทั้งสองดำรงค์ตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการตามลำดับ มีพนักงานรวมกันทั้งสิ้น 63 คน ซึ่งเป็นพนักงานที่ยืมตัวมาจากธนาคารกรุงไทย 24 คนและอีก 39 คนเป็นพนักงานที่ว่าจ้างเข้ามาใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นทนายความและพนักงานเริ่งรัดหนี้สิน

วัฒน์นั้นเป็นอดีตผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ลาออกจากราชการก่อนเกษียณอายุ เพื่อมารับงานเป็นผู้จัดการฝ่ายกฏหมายธนาคารสยามในยุคฟื้นฟูใหม่ๆ เมื่อมีการโอนทรัพย์สินให้ธนาคารกรุงไทยทุกคนต่างก็หนีจากไปหมด แต่วัฒน์ไม่ยอมจากไปและในฐานะนักกฏหมายเขามีความหมายต่อภาระกิจสะสางหนี้ของธนาคารอย่างยิ่ง เมื่อทุกคนจากไปเขาจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้จัดการ

ส่วนพีรพงศ์จบปริญญาโทจากสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมงานกับธนาคารสยามในยุคฟื้นฟูเช่นกัน แต่ในฐานะนักวิชาการและวางแผนและเป็นเลขานุการคณะกรรมการ ก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ยอมจากแบงก์นี้ไปจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนอกจากความผูกพันในงานที่เขาเห็นว่าท้าทายต่อตัวเขาแล้วยังเป็นเพราะความเคารพนับถือที่เขามีต่อ วารี หะวานนท์ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายกำกับ และตรวจสอบธนาคารพาณิชย์ของแบงก์ชาติซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เข้าเป็นกรรมการผู้อำนวยการคนแรก ในยุคฟื้นฟูซึ่งเป็นคนชวนเขาเข้ามาทำงาน และปัจจุบันเธอก็ยังนั่งเป็นประธานธรรมการของธนาคารอยู่ในขณะที่คนอื่นลาออกไปหมดแล้ว

จากที่ไม่เคยจับงานทางด้านเร่งรัดหนี้สินมาก่อนพีรพงศ์ ต้องศีกษาและเรียนรู้อย่างหนัก เมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการฝ่ายเริ่งรัดและประนอมหนี้ และก็ทำงานจนเต็มความสามารถได้รับแต่งตั้งจากคณะกรรมการให้เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี่เอง

ซึ่งว่ากันที่จริงในแบงก์ก็มีผู้บริหารระดับสูงเพียงสองคนเท่านี้ เพราะคนแรกนั้นนอกจากจะเป็นกรรมการผู้จัดการแล้วก็ยังรักษาการผู้จัดการฝ่ายกฏหมายอีกตำแหน่งหนึ่ง ส่วนคนหลังนี่ก็รักษาการผู้จัดการฝ่ายเร่งรัดและประนอมหนี้อีกเช่นกัน และเผอิญในแบงก์นี่ ก็มีสองคนนี้เท่านั้นเอง

พีรพงศ์ยังพูดทีเล่นทีจริงกับใครต่อใครที่เขาสนิทว่า "จบงานนี้แล้วผมจะเปิดบริษัทรับเร่งรัดและประนอมหนี้ท่าจะดี"

ส่วนกรรมการธนาคารก็มีการเปลี่ยนแปลงกันไปมากหน้าหลายตา จนปัจจุบันคงเหลือเพียง 6 คน อันได้แก่ วารี หะวานนท์ เป็นประธาน วัฒน์ ผดุงจิตร ยงศ์ ศรีนาม อดีตผู้จัดการฝ่ายกฏหมายแบงก์ชาติ เกียติศักดิ์ มี้เจริญ จากแบงก์ชาติ ดร.สมชัย ฤชุพันธ์ จากกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการ และพีรพงศ์ยังทำหน้าที่เป็นเลขานุการคณะกรรมการเหมือนเดิม

คณะกรรมการจะมีการประชุมกันเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อมีมติเกี่ยวกับการดำเนินคดีและหรือผ่อนผันหนี้กับเจ้าหนี้รายสำคัญๆ

ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2530 หลังจากที่โอนสินทรัพย์ส่วนดีๆ ไปให้ธนาคารกรุงไทยแล้ว ธนาคารสยามมีลูกหนี้ค้างชำระหรือที่เรียกว่าหนี้มีปัญหาที่จะต้องติดตามเร่งรัดจำนวน 7,600 ล้านบาท ในขณะเดียวกันก็เป็นหนี้ธนาคารกรุงไทยอยู่จำนวน 6,000 กว่าล้านบาท ทุนจดทะเบียนโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวน 1,500 ล้านบาท เงินช่วยเหลือจากทางการในรูปของเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ จำนวน 4,200 ล้านบาท ซึ่งทำให้ธนาคารมีรายได้ปีละ 400 ล้านบาท โดยจะเริ่มคืนเงินช่วยเหลือนี้ตั้งแต่ปี 2537 และสิ้นงวดสุดท้ายในปี 2539

ในการดำเนินงานที่ผ่านมาสามารถเรียกเก็บหนี้คืนเป็นตัวเงินแล้วทั้งสิ้น 2,000 กว่าล้านบาท ที่เหลือ 5,000 กว่าล้านบาท ส่วนหนึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการผ่อนชำระ และส่วนหนึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีหรือรอการบังคับขาย และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นหนี้ของกลุ่มผู้บริหารเดิม ซึ่งไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และเชื่อว่าจะเรียกคืนไม่ได้เลยจะต้องตัดเป็นหนี้สูญจำนวน 3,000 กว่าล้านยาท

เพราะฉะนั้นลูกหนี้ค้างชำระที่คาดว่าจะเรียกคืนได้จริงฟ ในขณะนี้มีเพียง 1,600 ล้านบาทเท่านั้นเอง

จากรายงานของธนาคารเองระบุว่าสินทรัพย์ของธนาคารขณะนี้ประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยเงินสด 386 ล้านบาท ทรัพย์สินรอการขายหมายถึงหลักทรัพย์ที่อยู่ในระหว่างการบังคับขายทอดตลาดประมาณ 150 ล้านบาท ที่ดินและอุปกรณ์ 52 ล้านบาท ดอกเบี้ยพันธบัตรค้างรับ 200 ล้านบาท สินเชื่อมีปัญหาที่คาดว่าจะเรียกเก็บได้ 1,600 ล้านบาท

เพราะฉะนั้นเมื่อนำทรัพย์สิน 2,500 ล้านบาทมาหักออกจากหนี้สินที่ค้างอยู่กับธนาคารกรุงไทย 6,000 ล้านบาท ฐานะของธนาคารสยามในปัจจุบันก็จะติดลงอยู่ 3,500 ล้านบาท

ถ้าปล่อยให้ธนาคารคงสภาพอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนถึงสิ้นสุดอายุสัญญาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในปี 2539 ธนาคารจะมีรายได้จากส่วนนี้มาชดเชยอีกประมาณ 2,000 ล้านบาท แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อนำมาหักกับมูลค่าสินทรัพย์ที่ติดลบ 3,500 ล้านบาทแล้วก็ยังมีค่าติดลงอยู่ถึง 1,500 ล้านบาท

ถ้าเป็นอย่านี้ก็ป่วยการ ที่ปล่อยให้ธนาคารอยู่ในสภาพอย่างนี้ต่อไป เพราะว่าอันที่จริงก็ถือว่าฐานะของธนาคารสยามขณะนี้คือล้มละลายนั่นเอง!!

เพียงแต่มีเหตุที่จะล้มไม่ได้ เพราะว่าการล้มละลายของสยามนั้นจะส่งผลถึงกรุงไทย ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่ 6,000 กว่าล้านบาท จะพลอยล้มละลายไปด้วย ยังไม่รวมถึงเงินของกองทุนฟื้นฟูในหุ้นอีก 1,500 ล้านบาทที่จะต้องหายวับไปกับตาทันที

คำถามมีว่าถ้าไม่ล้มละลายเสียแต่ตอนนี้ในอนาคตมันจะสามารถฟื้นคืนมาโดยตัวของมันเองได้หรือไม่!? ซึ่งก็คงตอบว่าไม่ได้ เว้นแต่ในทางบัญชีจะกระทำได้โดยต่ออายุเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำออกไปอีกเพื่อให้ธนาคารสยามมีรายได้จากส่วนนี้อีกปีละ 400 บาทและก็คูณจำนวนปีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบซึ่งก็จะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยทีเดียว

นี่คือที่มาของการเตรียมการขายธนาคารแห่งนี้ออกไปดีกว่าปล่อยให้มันเน่าคามือของคนแบงก์ชาติและกระทรวงการคลัง แต่ก็อย่าลืมถามตัวเองเหมือนกันว่าตอนกลับนโยบายให้รวมเข้ากับกรุงไทยนั้นเป็นความคิดของใคร คนนั้นก็ควรแสดงตัวออกมารับผิดชอบด้วย !!?

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us