Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน20 กรกฎาคม 2550
ต่างชาติปรับพอร์ตหุ้นไทย             
 


   
search resources

Stock Exchange




ต่างชาติทยอยปรับพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นไทย หวังรอผลลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 19 ส.ค.นี้ บวกกับมาตรการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งในสัปดาห์หน้า นักวิเคราะห์ชี้หากกลุ่มธนาคารผลงานแย่กว่าไตรมาสแรกฉุดหุ้นซึมยาวถึงช่วงลงประชามติ ด้านผลประกอบการแบงก์ครึ่งปี"ทหารไทย"ขาดทุนอ่วม 6 พันล้านบาท "ไทยพาณิชย์กำไรหด"

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (19 ก.ค.) ดัชนีแกว่งตัวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวันหลังจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุน ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่รอความชัดเจนเกี่ยวกับการลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอีก 1 เดือนข้างหน้าว่าจะมีผลสรุปอย่างไร

โดยดัชนีปรับตัวลดลงมาปิดที่ 847.26 จุด ลดลง 2.30 จุด หรือ 0.27% โดยระหว่างวันจุดสูงสุดอยู่ที่ 848.91 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 840.55 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ลดลงเหลือเพียง 18,802.10 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 2 อีก 632.59 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,087.41 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,720 ล้านบาท

นายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง รองผู้บริหารฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า สาเหตุที่เริ่มเห็นการปรับตัวลดลงของดัชนีเนื่องจากตลาดหุ้นเริ่มถึงจุดที่จะต้องมีการพักฐานหลังก่อนหน้านี้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัจจัยลบจากความวิตกของนักลงทุนเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศไทย จากคำแถลงของทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.เรื่องภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงวามกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ที่จะมีการประกาศในสัปดาห์นี้ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลดลงจากไตรมาสก่อน

ส่วนมูลค่าการซื้อขายในวานนี้ที่ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 19,000 ล้านบาทนั้น เนื่องมาจากการดัชนีหยุดการทำสถิติใหม่ ส่งผลทำให้นักลงทุนบางส่วนหยุดการเข้ามาซื้อขายทำกำไรจนมูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลง

ทั้งนี้ การขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาตินั้นในช่วง 1-2 วันนี้ ยังไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากนัก เพราะถ้าเทียบกับมูลค่าที่ซื้อสุทธิในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นระดับที่น้อยมาก โดยมุมมองส่วนตัวหากนักลงทุนต่างชาติจะมีปรับพอร์ตนั้นจะต้องเกิดมาจากส่วนต่างระหว่างตลาดหุ้นในประเทศแและต่างประเทศที่ปรับตัวลดลงเพราะราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่เรื่องค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะไม่แข็งค่าขึ้น และสัญญาณภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นนั้น ไม่น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการปรับพอร์ตมากนัก

"ต่างชาติคงจะรอให้เกิดข่าวดีออกมาก่อนจึงจะทยอยขายออกมา ซึ่งน่าจะมีการเทขายออกมาหลังวันที่ 19 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่จะมีการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ โดยจากนี้จนถึงวันที่ 19 สิงหาคมนั้น มูลค่าการซื้อขายน่าจะทยอยชะลอลดลงไปเรื่อยๆ"นายสิทธิเดช กล่าว

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการ บล.นครหลวงไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วันนี้ปรับตัวลดลง เนื่องจากมีแรงขายทำกำไรในกลุ่มหุ้นขนาดไหญ่ ซึ่งทิศทางการปรับลดลงนั้นเป็นไปตามตลาดหุ้นในต่างประเทศ ส่วนเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เริ่มชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นเอเซียนั้น เกิดมาจากสัญญาณดอกเบี้ยของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการคาดการณ์ว่าแนวโน้มจะทรงตัวในระดับเดิมส่งผลทำให้ค่าเงินดอลล่าร์ไม่น่าจะอ่อนค่าไปมากกว่านี้

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2/50 ที่จะทยอยประกาศในสัปดาห์หน้า ทำให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเริ่มขายเพื่อปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อติดตามผลประกอบการต่อไป

รอมาตรการรัฐบรรเทาบาท

นายณาศิส ประเสริฐสกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ เปิดเผยว่า นักลงทุนรอความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการของทางรัฐบาล ที่จะออกมาเพื่อดูแลค่าเงินบาท จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีการขายสุทธิออกมาเพื่อลดความเสี่ยง และทำให้นักลงทุนในประเทศเริ่มเกิดความไม่มั่นใจซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นในริมาณการซื้อขายที่เบาบางลง

นอกจากนี้ การที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐได้แถลงต่อทางรัฐสภาของสหรัฐว่า ไม่ได้ให้น้ำหนักเกี่ยวกับเงินเฟ้อมากนักดังนั้นจึงอาจจะทำให้ค่าเงินสหรัฐอ่อนค่าลงได้อีก และการประกาศตัวเลข GDP ของประเทศจีนในไตรมาส 2 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น ซึ่งจากปัจจัยทั้งสองเรื่องอาจจะเป็นผลทำให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้นได้อีก

ส่วนแนวโน้มในวันพรุ่งนี้ คาดว่าดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวในลักษณะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน เกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลที่จะประกาศใช้เพื่อดูแลปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่า นอกจากนี้ยังต้องรอผลประกอบการของกลุ่มธนาคารที่กำลังจะประกาศออกมาว่าจะเป็นอย่างไรแม้ว่าจะไม่มีประเด็นสำคัญต่อการปรับตัวขึ้นลงของตลาดหุ้นมากนัก โดยประเมินแนวรับที่ 833 จุด แนวต้านที่ 846 จุด

BBL-KBANK-SCBกำไรตามขาด

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)รายงานผลประกอบการสําหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 มีกําไรสุทธิจํานวน 5,324 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,033 ล้านบาท หรือ 24.1% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนกําไรก่อนหักสํารองและภาษีมีจํานวน 9,364 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.6% โดยในภาพรวมธนาคารมีการขยายตัวดีด้านสินทรัพย์ มีกําไรสูงขึ้น โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิและรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยต่างเพิ่มขึ้นในขณะที่ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง และธนาคารยังคงสามารถรักษาคุณภาพสินทรัพย์ไว้ได้ในระดับเดิม

โดยในไตรมาสที่ 2 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 11,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2549 จํานวน 1,018 ล้านบาท หรือ 9.6% เนื่องจากมีเงินกู้ยืมครบกําหนดบางส่วน เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมลดลง 339 ล้านบาท และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นจาก 2.95% ในปีที่แล้ว เป็น 3.15%

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2550 ธนาคารมีสินเชื่อ 984,382 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.7% จากสิ้นปี 2549 โดยเพิ่มขึ้นที่สินเชื่อสําหรับลูกค้าขนาดย่อย ลูกค้าขนาดกลาง ลูกค้าบุคคล และลูกค้าสาขาต่างประเทศ ส่วนเงินฝากมีจํานวนเพิ่มขึ้น 4.6% เป็น 1,278,034 ล้านบาท

สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2550 มีจํานวน 90,333 ล้านบาท คิดเป็น 9.1% ของสินเชื่อรวม โดยในไตรมาสที่ 2 นี้ ธนาคารได้ตั้งสํารองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมอีก 1,427 ล้านบาท เป็นผลให้สํารองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญมียอดสะสม 71,108 ล้านบาท หรือคิดเป็น 78.7% ของสินเชื่อด้อยคุณภาพ และหากนับรวมกําไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 ด้วยแล้ว ธนาคารจะมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ประมาณ 16.2% และ 12.7% ตามลําดับ โดยธนาคารมีกําไรต่อหุ้นในไตรมาสนี้เท่ากับ 2.79 บาท

ไทยพาณิชย์ครึ่งปีกำไรหด

นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (SCB)เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 ปี 50 ธนาคารมีผลประกอบการเบื้องต้นโดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 4,311 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 เป็นจำนวน 611 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นในอัตรา 16.5% และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วยเดียวกันของปีก่อน 139 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.3% โดยผลกำไรที่ดีมาจากรายได้ดอกเบี้ย รายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้จากบริการต่างๆของธนาคารและบริษัทในกลุ่มที่ยังคงเติบโตดีและต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2550 ธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8,010 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ 4.6% หรือ 384 ล้านบาท เป็นผลมาจากการที่ธนาคารจ่ายภาษีเงินได้มากขึ้น และการตั้งสำรองเพิ่มเพื่อรองรับสภาวะทางธุรกิจที่ยังไม่มีความแน่นอน

นางกรรณิกากล่าวว่า จุดเด่นของการดำเนินงานในครึ่งปีแรกมาจากการขยายตัวของสินเชื่อซึ่งเติบโตจากสิ้นปี 40,416 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด การขยายตัวเป็นไปได้ดีในสินเชื่อ SME และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ เมื่อประกอบกับการบริหารต้นทุนเงินฝากที่ได้ผล ทำให้รายได้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin) ขยับสูงขึ้นเป็น 3.6%

ด้านเงินฝาก ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 มีจำนวน 787,505 ล้านบาท ลดลงจำนวน 4,577 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.6% จากจำนวน 792,081 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2549

ในส่วนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ(NPL)ถือว่าอยู่ในระดับที่ธนาคารบริหารและจัดการได้ ทั้งนี้ NPL ณ สิ้นมิถุนายน 2550 อยู่ที่ 29,337 ล้านบาท หรือ 3.9% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2549 ซึ่งอยู่ที่ 5.5% ซึ่งธนาคารจะได้มีการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการเพิ่มขึ้นของ NPL ในอนาคต

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานก่อนสอบทานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 ของธนาคารและบริษัทย่อย ว่า มีกำไรสุทธิ 4,088 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.71 บาท เทียบกับผลประกอบการในช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 3,545 ล้านบาท และมีกำไรต่อหุ้น 1.49 บาท เท่ากับมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 15.32% และมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 14.77%

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนในปี 2550 มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 7,964 ล้านบาทกำไรต่อหุ้น 3.34 บาทเปรียบเทียบกับผลประกอบการในช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่มีกำไรสุทธิ 7,160 ล้านบาทและมีกำไรต่อหุ้น 3.01 บาท เท่ากับมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 11.23% และมีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 10.96%

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 962,632 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 31 ธันวาคม 2549 จำนวน 2.90% มีเงินให้สินเชื่อ 703,418 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.87%และมีเงินฝากรวม 764,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.76% มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงที่ 14.50% แบ่งเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 10.48% มีสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Gross) จำนวน 47,281 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อเงินให้สินเชื่อเท่ากับ 6.71% และมีสินเชื่อด้อยคุณภาพสุทธิ (NPL Net) ที่ 24,427 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.59%

ทหารไทยขาดทุนอ่วมกว่า6พันล.

นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการ ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของธนาคารในไตรมาส 2 ปี 2550 ธนาคารมีผลขาดทุนสุทธิสูงถึง 6,129 ล้านบาท และงวด 6 เดือนขาดทุนสูงถึง 5,900 ล้านบาท เนื่องจากมีภาระการตั้งสำรองสูงถึง 8,200 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ธนาคารมีรายได้รวม 22,500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.50% เมื่อเทียบกับ 19,660 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปี 2549 โดยรายได้หลักของธนาคารเพิ่มขึ้น มาจากรายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิและเงินปันผล เท่ากับ 8,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 7,820 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีที่แล้ว รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 51.70% เป็น 4,200 ล้านบาทในงวดนี้ เมื่อเทียบกับ 2,700 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเป็นผลเนื่องมาจาก การจำหน่ายหุ้นกู้ที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจากธุรกิจเพื่อรายย่อยและรายได้จากการปริวรรตเงินตรา โดยอัตราส่วนระหว่างรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยและรายได้จากดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นเป็น 18.50% เมื่อเทียบกับ 14% ในงวดเดียวกันของปี 2549

ส่วนสินเชื่อด้วยคุณภาพ (NPL) ณ สิ้นงวดครึ่งปีแรก 2550 ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ 66,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,660 ล้านบาท จากปลายปี 2549 เนื่องจากธนาคารหลังจากได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารได้จัดชั้นสินเชื่อจำนวน 11,000 ล้านบาทไปเป็นสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) ซึ่งสินเชื่อบางส่วนยังมีการชำระดอกเบี้ยให้ธนาคารตามปกติ การจัดชั้นสินเชื่อดังกล่าวเป็นผลจากการทบทวนมาตรฐานการจัดชั้นสินเชื่อภายในที่เข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่องของธนาคาร และการเพิ่มขึ้นของ NPLs จากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่อำนวย อย่างไรก็ตาม ณ วันสิ้นงวด 30 มิถุนายน 2550 ธนาคารมีสินทรัพย์สุทธิ 658,580 ล้านบาท มีเงินให้สินเชื่อ505,170 ล้านบาท สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้รวม 66,436 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 61,771 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2549   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us