เป้าหมายของบริษัทส่วนใหญ่ในอีซีนั้น ต้องการเป็นบริษัทที่มีความเป็นยุโรป
อย่างแท้จริงเมื่อถึงปี 1992 หนทางเดียวสำหรับความรุ่งเรืองและเชือดเฉือนในเชิงแข่งขันกับบริษัทญี่ปุ่น
และสหรัฐฯได้ก็คือ ต้องประสบความสำเร็จในตลาดร่วม ให้ได้ หมดยุคที่บริษัทหนึ่งบริษัทใดจะอยู่รอดได้ในสถานภาพของการเป็นบริษัทท้องถิ่น
การซื้อกิจการอาจเป็นทางลัดที่สุดสำหรับการให้ได้มาซึ่งฐานตลาดอีซีที่กว้างขึ้น
เพราะมันอาจเป็นวิธีช่วยกระจายสินค้าได้ครบถ้วนทุกแขนง เป็นการนำเอาประสบการณ์ของผู้ที่อยู่ในวัฒนธรรมองค์กรธุรกิจต่างกันมาพบกันได้
"ทันที" และมักเป็นการวางรากฐานการผลิตใหม่ ๆ ที่สำคัญด้วย แต่มันต้องได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพทั้งก่อนและหลังซื้อกิจการ
เพราะวิธีนี้มีหลุมพรางที่เป็นอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจากความเปลี่ยนแปลงจากการรวมตัวกัน
จากสัญญาที่ซับซ้อน จากการมอบอำนาจ จากการหวงอำนาจ และปัญหาการรักษาไว้ซึ่งแรงผลักดันไว้ให้ได้
รวมทั้งการมีความซื่อสัตย์ร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม การซื้อกิจการมักเป็นหนทางเจาะตลาดใหม่ที่ง่ายที่สุด เมื่อผสมผสานเข้ากับนโยบายการปรับให้มีความทันสมัยาและเป็นไปตามเหตุผลแล้ว
ก็จะสามารถแปลงสภาพบริษัทหนึ่ง ๆ มีกิจการที่เป็นยุโรปอย่างแท้จริงได้
การขยายแนวธุรกิจของบีเอสเอ็น
บีเอสเอ็นกรุ๊ปของฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของบริษัทที่สามารถเปลี่ยนสภาพของตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง
ด้วยวิธีซื้อกิจการที่ชาญฉลาด จากปี 1967 ที่เป็นเพียงผู้ผลิตกระจกเรียบและขวด
มียอดขายต่อปี 1.4 พ้นล้านฟรังก์ กลายเป็นยักษ์ด้านอาหารใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของยุโรปในปี
1989 ยอดขายพุ่งขึ้นถึง 42,000 ล้านฟรังก์
ปัจจุบันบีเอสเอ็นมีความสำคัญในฐษนะผู้ผลิตนมเนยและน้ำแร่หมายเลขหนึ่งของโลก
(ผลิตภัณฑ์นมเยนยี่ห้อ DANONE, GERVAIS และน้ำแร่ยี่ห้อ EVAIN) ผู้ผลิต เบียร์และพาสต้าอันดับ
2 ของยุโรป (เบียร์ยี่ห้อ KRONENBOURG และพาสต้ายี่ห้อ PANZANI) ผู้ผลิตแชมเปญและบิสกิตอันดับ
3 ของโลก (แชมเปญยี่ห้อ LANSON, POMMMERY และบิสกิตยี่ห้อ LU)
อองตวน ริโบด์ ประธานบีเอสเอ็นผู้กุมบังเหียนกิจการมาด้วยดีถึง 23 ปีนั้น
เป็นที่เลื่องลือทั่วฝรั่งเศสว่าเป็น "เถ้าแก่" ผู้แข็งแกร่งและมองการณ์ไกล
เขาเป็นผู้มีส่วนในการสร้างความสำเร็จในตลาดยุโรปอย่างแท้จริง เห็นได้จากคำยืนยันว่า
"ภารกิจสำคัญเบื้องแรกสุดสำหรับบีเอสเอ็นคือตลาดยุโรป"
บีเอสเอ็นไม่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานเพื่องานแผนยุทธศาสตร์ปี
1992 ด้วยซ้ำ แต่เดินตามนโยบายของรัฐบาลฝรั่งเศสอย่างใกล้ชิด มี "มร.
1992๐ ในบริษัทสาขาทุกแห่ง แล้วคอยติดตามความคืบหน้าของอีซีทุกอย่างก้าว
จากนั้น ก็มีระบบเสนอรายางานสำคัญๆ ผ่านหัวหน้าของธุรกิจแต่ละแผนกไปยังประธานบริษัทคือ
ริโบด์
เป็นที่น่าสังเกตว่า ความปรารถนาอย่างแรงกล้าของริโบด์ที่จะทำให้บีเอสเอ็น
เป็นบริษัทยุโรปอย่างแท้จริงนั้น เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ทางธุรกิจที่เขากำหนดไว้เมื่อ
17 ปีที่แล้วคือ ก่อนจะมีการร่างรายละเอียดของตลาดร่วมยุโรปออกมาด้วยซ้ำ
ย่างก้าวแรกเริ่มต้นเมื่อปี 1970 หลังจากที่ซื้อกิจการบริษัท KRONENBOUG,
SOCIETE EURO PEENNE, DES BRASSERIES และ EVIAN) ซึ่งเป็นการรุเข้าสู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างแท้จริงแล้วก็มีการตั้งโรงงานผลิตกระจกแผ่นเรียบแห่งแรกขึ้นที่เยอรมนี
ปี 1972 บีเอสเอ็นซื้อ "กลาสเวอร์เบล" ผู้ผลิตกระจกแผ่นเรียบของเบลเยียม
ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดยุโรปถึง 500% จากนั้นก็ผนวกกิจการกับ GERVAIS-DANONE
และผู้ผลิตอาหาร ทำให้ธุรกิจใหม่สร้างยอดขายเพิ่มถึง 50% ของยอดขาย 12,000
ล้านฟรังก์ในปี 1973
หลังจากนั้นการซื้อและขายกิจการก็อุบัติขึ้นตามมาครั้งแล้วครั้งเล่า โดยอองตวน
ริโบด์เข้าซื้อ "อัลเคน" ผู้ผลิตเบียร์อันดับ 4 ของเบลเยี่ยมในปี
1978 ปีถัดมาซื้อ "มาฮัน" ผู้ผลิตเบียรอันดับสองของ สเปน, "วูห์เรอร"
ผู้ผลิตเบียรหมายเลขสองของอิตาลีและเข้ซื้อหุ้นใหญ่ใน "แองโกล-เบลจ์"
ในส่วนของการขายธุรกิจทิ้งนั้น ปรากฏว่าพิลคิงตัน กลาสได้ชื่อว่า เป็นผู้ซื้อธุรกิจผลิตแก้วของบีเอสเอ็นในประเทศนอกฝรั่งเศส
รวมทั้งการซื้อบริษัทสาขาในออสเตรีย และเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้ผลิตกระจกแผ่นเรียบเมื่อปี
1980-1981 ส่วนกิจการในแขนงเดียวกันนี้แต่อยู่ในเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์นั้น
บีเอสเอ็นขายให้บริษัทอาซาฮี กลาสในญี่ปุ่น
บีเอสเอ็นพลิกบทบาทการเป็นนักซื้อในเวลาเดียวกัน ด้วยการซื้อบริษัทผลิตอาหารของฝรั่งเศสหลายแห่งด้วยกันคือ
AMORA, VANDAMME, PIE QUI CHANTE, SEGMA MAILLE, และ แคนอนของสหรัฐฯ
ปี 1982 บีเอสเอ็นขยายแนวธุรกิจเข้าสู่ร้านขายของเบ็ดเตล็ด ด้วยการซื้อ
LIEBIG ซึ่งมีสาขาในฝรั่งเศส เบลเยียม และอิตาลี จากนั้นซื้อกิจการผลิตแชมเปญ
LANSON และ POMMERY เมื่อปี 1983 และเข้าควบคุมการบริหารกิจการปอนเต้ผู้ผลิตพาสต้าอันดับ
4 ของอิตาลีในปี 1985
การซื้อครั้งต่อมาของบีเอสเอ็นในปี 1986-87 คือการซื้อ GENERALE BISCUIT
ของฝรั่งเศสการเข้าซื้อบริษัทผู้บรรจุขวดน้ำแร่อันดับ 1 ของอิตาลีคือ SAN
GEMINI-DERRARELLE และซื้อบริษัทผู้ผลิตพาสต้าอีกหลายแห่งในอิตาลี ไม่ว่าจะเป็น
GHIGHI, MONTOVAN, SPIGA และ TOMADIN ในเยอรมันนีบีเอสเอ็นได้ซื้อ SOMMEN-BASSERMAN
ผู้ผลิตสินค้าเบ็ดเตล็ด รวมทั้งซื้อ FONTVALLA บริษัทน้ำแร่ใหญ่ที่สุดของสเปน
บริษัท ARDILLA ผู้ผลิตพาสต้าอันดับ 2 และ SIRO ผู้ผลิตบิสกิตหมายเลขหนึ่งของสเปนด้วย
ปี 1988-89 บีเอสเอ็นก้าวต่อด้วยการเข้าถือหุ้น 25% ในหลายบริษัท ทั้ง
PERONI ผู้ผลิตเบียร์ของอิตาลี ใน HB FOOD และ LEE & PERRINS ของอังกฤษ
ใน LAPORTA บริษัทด้านแพ็คเกจจิ้งของอิตาลี ตลอดจนการถือหุ้นของ MASS ผู้ผลิตเบียร์ของเบลเยียม
รวมถึงการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธุรกิจบิสกิจเวสเทิร์นฟูดในสหรัฐฯ และการมีหุ้น
35% ในสตาร์, สตาร์ลักซ์ซึ่งเป็นบริษัทผลิตสินค้าเบ็ดเตล็ดของสเปนและอิตาลีตามลำดับ
การซื้อกิจการของบีเอสเอ็นนับเป็นประสบการณ์ที่ควรค่าแก่การเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง
เพราะในทุก ๆ สถานการณ์ และทุกโอกาสที่มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมากนั้น
ก็มีบทเรียนแจ่มชัดที่น่าศึกษาจากบีเอสเอ็นอยู่ตลอดเวลา
บทเรียนประการแรกสุดคือ เมื่อซื้อกิจการจำนวนมหาศาลได้แล้ว บีเอสเอ็นก็เาไปบริหารอย่างทรงประสิทธิภาพ
บีเอสเอ็นไมเคยหยุดยั้งต่อการพัฒนาให้บริษัททันสมัยและเป็นไปตามหลักของเหตุผล
รวมทั้งการฝช้วิทยาการด้านคอมพิวเตอร์การใช้ระบบการผลิตที่ยืดหยุ่นได้ อันนำมาซึ่งการลดต้นทุน
และการได้รับสมรรถนะสูงสุดของการผลิตในธุรกิจทุกแขนง ริโบด์มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในทีมบริหารขนาดเล็กแบบรวมศูนย์อำนาจ
ที่มีแต่เพียงหัวหน้าของธุรกิจแต่ละแขนง เช่น นมเนย ของเบ็ดเตล็ด บิสกิต
เบียร์ น้ำแร่ และแชมเปญ ที่รายงานตรงต่อเขา
บทเรียนประการที่สอง เป็นการสร้างปัจจัยเชิงบวกทางการตลาด บีเอสเอ็นได้ทุ่มทุนถึง
850 ล้านฟรังก์ เพียงเพื่องานโฆษณาของบริษัทในฝรั่งเศสโดยเฉพาะ และ 3 ใน
4 ของผู้อำนวยการทางการตลาดในฝรั่งเศส มาจากบริษัทสาขาของบีเอสเอ็นคือ AMORA,
GERVAIS และ KRONENBOURG ซึ่งแรงผลักดันทางการตลาดนี้เองที่เป็นปัจจัยสำคัญลำดับต่อมา
ที่ช่วยก่อรูปความสำเร็จให้แน่นอนขึ้น
บีเอสเอ็นมีความสามารถที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์มีความเป็นสากล หรือเป็นผลิตภัณฑ์แบบยุโรปได้ตัวอย่างจากการประสบความสำเร็จของบีเอสเอ็นในการวางตลาดโยเกิร์ตพร้อมดื่มในญี่ปุ่น
ซึ่ง "โยเกิร์ต" นี้ ผลิตจากแบคทีเรียชนิดพิเศษ เพื่อที่จะแข่งขันกับผู้ริเริ่มที่เป็นบริษัทนมเนยขนาดเล้กซึ่งมีส่วนแบ่งตลาด
10% รวมทั้งการริเริ่มใช้ขวดซอสมะเขือเทศแบบพลาสติก ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบีเอสเอ็นก้าวแซงหน้าพลาสติก
ทำให้ผลิตภัณฑ์ของบีเอสเอ็นก้าวแซงหน้าไฮนซ์ ซึ่งเป็นผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ในฝรั่งเศสได้
บทเรียนประการที่สามคือ การซื้อกิจการของบีเอสเอ็นทั้งหมด ล้วนมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจหลักของบริษัท
หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องให้ผลในเชิงทบทวี (SYNERGY) ที่สำคัญไม่แพ้กันคือบีเอสเอ็นจะพุ่งเป้าไปที่บริษัทเด่น
ๆ ของตลาดแต่ละแห่งเสมอ
บทเรียนประการสุดท้าย ริโบด์เรียนรู้ที่จะมีพันธมิตรผู้แข็งแกร่งในตลาดใหม่
ๆ ปี 1985 เขาประสบความล้มเหลวในการประมูลซื้อ "บุยโตนี่" ผู้ผลิตอาหารอันดับ
2 ของอิตาลี ริโบด์ได้ประสบการณ์จากการเจรจาหลายเดือน แต่เมื่อถึงขึ้นของการเซ็นสัญญา
ริโบด์ถูกขัดขวางจากคาร์โล เดอ เบเบเดตติซึ่งเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของเขา
เดอ เบเบเดตติเป้นผู้หยิบชิ้นปลามัน สามารถเจรจาซื้อกิจการได้สำเร็จภายในเวลา
24 ชั่วโมงเท่านั้น
จากการเรียนรู้ในครั้งนั้น ริโบด์เริ่มมองหา "พันธมิตร" ชาวอิตาเลียน
ซึ่งสามารถทำให้เขาได้รับความเชื่อถือในตลาดท้องถิ่น และอาจเป็นกำลังทางการเงินได้ด้วย
ริโบด์พบลักษณะที่เขาต้องการในตัวประธานของเฟียต คือ จิโอวานนี่ อักเนลลี่
(คนที่ริโบด์พบในลิฟท์ของโรงแรมนิวยอร์ก) การเป็นหุ้นส่วนของคนทั้งคู่เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม
1987 ในการเข้าซื้อ SAN GEMINI - FERRARELLE ผู้ผลิตน้ำแร่ชั้นนำของอิตาลี
เงื่อนไขการเป็นพันธมิตรกันนั้น IFIL - PARTECI PAZIONI ของอักเนลลี่ได้ถือหุ้นของบีเอสเอ็น
4.3% ส่วนบีเอสเอ็นจะได้ถือหุ้นของ IFIL 20% (IFIL ถือหุ้น 6.7% ของเฟียต
หุ้นในบริษัทด้านอาหารและบริษัทจัดจำหน่ายของอักเนลลี่) การร่วมซื้อกิจการทั้งหมดนั้น
ทั้งสองบริษัทจะร่วมเป็นเจ้าของแบบ 50-50 แต่บีเอสเอ็นจะเป็นผู้เข้าควบคุมงานด้านบริหารเอง
จากสถานภาพของการเป็นเพียงบริษัทผู้ผลิตขวดขนาดกลาง บีเอสเอ็นก้าวมาไกลจากปี
1989 มากเพื่อมุ่งทีจะเป็นบริษัทยุโรปอย่างแท้จริงในตลาดร่วม ด้วยวิธีการเลือกซื้อกิจการบริษัทอื่นมาโดยตลอด
การปรับโครงสร้างของ "จีไอบี"
จีไอบีกรุ๊ปเป็นบริษัทค้าปลีกชั้นนำของเบลเยียมพัฒนาจากบริษัท "จีบี-อินโน-บีเอ็ม"
ซึ่งเป็นผลพวงของการผนวกและซื้อกิจการอย่างต่อเนื่องหลายครั้งในช่วง 2 ปีที่แล้ว
เมื่อบริษัทตระหนักถึงความ สำคัญของตลาดร่วมยุโรป จากนั้นมาจีไอบีได้ปรับโครงสร้างของตัวเองมาตลอด
จีไอบีสร้างฐานในเบลเยียมให้แข็งแกร่งด้วยวิธีซื้อกิจการ และขยายกิจการครอบคลุมยุโรปครั้งใหญ่จากการซื้อกิจการและแฟรนไชส์ของดีไอวายและในธุรกิจฟาสต์ฟูด
ห้างค้าปลีกทั้งหมดของจีไอบีประกอบไปด้วย "จีบี แม็กซี่ ไฮเปอร์มาร์เก็ต"
56 แห่ง ตั้งอยู่ตามชานเมืองใหญ่ของเบลเยียม มีสินค้าไว้บริการอย่างครบถ้วนทั้งผลิตภัณฑ์ด้านอาหาร
และผลิตภัณฑ์ด้านอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังมี "ซูเปอร์ จีบี" ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตอี
89 แห่ง และยังเป็นเจ้าของ "ยูนิค" เชนค้าปลีกอิสระที่แข็งแกร่งอีก
333 แห่ง สำหรับธุรกิจร้านอาหารของจีไอบีครอบคลุมร้านแฮมเบอร์เกอร์ "ควิก"
36 แห่งในเบลเยี่ยม และ 77 แห่งในฝรั่งเศส (รวมทั้งที่ดำเนินงานในรูปของแฟรนไชส์ด้วย)
จีไอบีใช้ "บริโก จีบี" เป็นเครื่องหมายการค้าของสินค้าที่ขายในห้างดีไอวายในเบลเยียม
82 แห่งมี 32 แห่งดำเนินงานแฟรนไชส์ ซึ่งทำให้จีไอบีมีส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจแขนงนี้ถึง
25% รวมไปถึงห้างสรรพสินค้า "อินโน" อีก 15 แห่ง (มีห้างแกรนด์บาซาร์อีก
3 แห่ง) และ ยังเชนห้างขายสินค้าหรูราคาแพง รวมทั้งห้าง "คริสเตียนเชน"
ที่ขายของเด็กเล่นและเกมอีก 78 แห่ง ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มขยายโครงการสู่ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส
พฤศจิกายน 1987 จีไอบีได้ซื้อหุ้นใหญ่ในธุรกิจของ "เจซี เพนนีย์"
ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกอันดับ 3 ของสหรัฐฯ จีไอบีซื้อหุ้นทั้งหมดของเพนนีย์ที่มีอยู่ในธุรกิจแฟรนไชส์ห้าง
"โนปรี" และซื้อหุ้นของกลุ่มห้าง "ซาร์มา" อีก 49% (โดนมีออพชั่นซื้อหุ้นที่เหลือในอีก
4 ปี) จีไอบีไม่ได้มีแผนที่จะผนวกิจการของทั้งสองบริษัทเข้ากับการดำเนินงานของตน
แต่ได้อัดฉีดเงินเข้าไปถึง 640 ล้นฟรังก์เบลเยี่ยม ขณะเดียวกันก็ปรับโครงสร้างการบริหาร
ปลดเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารออกบางส่วนรวมถึงปิดกิจการที่ไม่ทำกำไรบางแห่งด้วย
การซื้อกิจการในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ที่จีไอบีวางไว้
ซึ่งรวมไปถึงการปิดห้างสรรพสินค้าสไตล์เก่าแก่อีก 1 แห่ง การให้พนักงานปลดเกษียณก่อนกำหนดอีก
3,000 คน และการขายทิ้งที่จอดรถหลายแห่งให้กับบริษัทสาขาของเซลล์ในเบลเยียม
สำหรับในต่างประเทศ จีไอบีเพิ่มปริมาณการถือหุ้นใน "สก็อตตี้ส์ อิงค"
ซึ่งดำเนินธุรกิจห้างดีไอวายในสหรัฐฯ ส่วนในสเปนก็เริ่มกิจการเชนร้านดีไอวายกับหุ้นส่วนคือ
"คอร์ปอราซิออง ไฟแนนซิเอร่า อัลบ้า" นอกจากนี้ ยังเข้าซื้อหุ้น
40% ของ "เวตีร์" บริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าของฝรั่งเศส เพื่อให้จีไอบีอยู่ในฐานะได้เปรียบเมื่อถึงปี
1992 ที่ตลาดร่วมยุโรปได้อุบัติขึ้นจริง
ในด้านธุรกิจฟาสต์ฟูด จีไอบีได้บรรลุข้อตกลงในปี 1988 ที่จะขยายธุรกิจร้านอาหารควิกในฝรั่งเศสภายใต้ชื่อ
"เอวิส เรสทัวรองต์" ซึ่งจะเปิดเป็นร้านอาหารแบบไดรฟ์-อินในไฮเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศและในอังกฤษภายใต้ชื่อ
"วิทเบรด" (ภายหลังจากที่ประสบความสำเร็จในการทดลองตลาดมาแล้ว
7 แห่ง)
ต่อมาในปี 1988 ยอดขายของกลุ่มจีไอบีมีมูลค่า 1,650 ล้านฟรังก์เบลเยียม
ซึ่งเป็นผลจากการปรับโครงสร้าง การซื้อกิจการและแฟรนไชส์ใหม่ ๆ และมีการจ้างงานในประเทศราว
31,000 ตำแหน่ง เป็นการจ้างงานในส่วนของแฟรนไชส์ราว 12,000 ตำแหน่ง
ตลาดร่วมยุโรป 1992 ดูเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลแก่ผู้บริหารอาวุโส
เห็นได้จากมีการกล่าวถึงตลาดร่วมและกฎหมาย SINGLE EUROPEAN ACT ในรายงานประจำปี
โดยในเรื่องของนโยบายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดรวมถึงข้อตกลงของการซื้อกิจการและแฟรนไชส์ทั้งหมด
จะถูกควบคุมโดยคณะ "ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม" ที่ประกอบขึ้นด้วย ฟอรงซัวร์วาเซอแลร์-ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
รับผิดชอบในกลยุทธ์ทั่วไป, จาคส์ด็อพซี่-รองประธานกรรมการ รับผิดชอบในกิจการระหว่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐฯ
และดิเอโก ดูมองโก กรรมการผู้จัดการ ซึ่งเคยทำงานกับโบรกเกอร์ระดับโลกคือเมอร์ริลลินซ์และสวิสแบงก์มาแล้วเป็นผู้ดูแลในเรื่องการปรับโครงสร้างการเงิน
และกิจการระหว่างประเทศ
แม้ว่าจีไอบีจะใช้เวลาในการเจรจาซื้อการดำเนินงานของเจซี เพนนีย์ นานถึง
18 เดือน แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็เป็นไปอย่างรวดเร้วในเดือนพฤศจิกายน
1987 ครั้งนั้นจีไอบีจ่ายเงินไป 1,200 ล้านฟรังก์เบลเยียมซึ่งวอร์ด เฮอร์ทีเรีย
ผู้ควบคุมด้านการสื่อสาของจีไอบีกล่าวว่า "นับเป็นการลงทุนที่ดี เพราะเราค่อนข้างเชี่ยวชาญในส่วนของการตลาดอยู่แล้ว
การซื้อครั้งนี้จะช่วยเสริมการดำเนินงานของบริษัทด้วย"
สำหรับห้างโนปรีนั้น มักตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีในอังกฤษซึ่งส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ทางเหนือและตอนกลาง
แม้ว่าจะมีกฎหมายจำกัดการสร้างห้างใหม่ ๆ ซึ่งเป็นผลจากการล็อบบี้ของเจ้าของห้างขนาดเล็ก
ที่ไม่ต้องการให้ห้างขนาดใหญ่ขยายสาขาแข่งกับตน แต่วิธีนี้ก็เป็นหนทางเดียวในการขยายกิจการเช่นกัน"
เฮอร์ทีเรียกล่าวว่า ในการพิจารณาที่จะซื้อกิจการแห่งใหม่ของจีไอบี จะมีปัจจัยที่สำคัญอยู่
4 ข้อคือ
1. จะต้องมีทำเลที่ดี อันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของธุรกิจค้าปลีก
2. การให้ความสำคัญกับแนวความคิดที่ดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ถือเป็นสูตรสำเร็จของการทำห้างและสร้างภาพพจน์
เช่น ห้าง FREETIME ในฝรั่งเศส
3. กิจการนั้นอยู่ในตลาดที่ธุรกิจอยู่ในระหว่างการเติบโต
4. ต้องได้รับความนิยมจากฝ่ายบริหารท้องถิ่นในการเข้าไปทำธุรกิจด้วยนโยบายของเราไม่ได้เป็นแบบนักล่าซื้อกิจการ
แต่เรายึดมั่นในการเป็นหุ้นส่วนกัน"
เขาเพิ่มเติมอีกว่า หนึ่งในหกหลักการสำคัญที่เป็นยุทธศาสตร์ของจีไอบีคือ
ต้องให้แน่ใจ
ว่ามีอัตราการเติบโตของยอดขายอย่างสม่ำเสมอ จากนโยบายการขยายแนวธุรกิจและซื้อกิจการ
ส่วนการปรับโครงสร้างของบริษัทที่จีไอบีได้ปฏิบัติมาตลอดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ทำให้จีไอบีมีศักยภาพเพียงพอที่จะเผชิญกับความท้าทายของตลาดร่วมในวันหน้า
บทเรียนล้ำค่าของบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม
ในขณะที่มีบทเรียนตัวอย่างที่ชัดเจนจากบีเอสเอ็นและจีไอบี แต่ก็เป็นตัวอย่างของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่
ซึ่งมีการดำเนินงานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงจากบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม
ซึ่งมีฐานะการเงินไม่มากนัก ดังนั้น เอสเอ็มอีจึงต้องมีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจเข้าซื้อกิจการในยุโรป
จากกรณีการซื้อกิจการของ "แรนซัมส์ ซิม แอนด์ เจฟเฟอรี่ส์" เมื่อเร็ว
ๆ นี้ เป็นตัวอย่างบทเรียนที่มีค่าสำหรับเอสเอ็มอี เพราะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
แรนซัมส์ได้ซื้อกิจการถึง 7 แห่ง ซึ่ง 4 แห่งอยู่ในอังกฤษ ที่เหลืออยู่ในฝรั่งเศส
อิตาลี และสหรัฐฯ
แซนดี้ แคเมอรอน เลขานุการประจำแรนซัมส์ เล่าว่า การซื้อกิจการเป็นส่วนสำคัญของยุทธศาสตร์องค์กรธุรกิจยุโรป
เพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจำเป็ต้องใช้ในการอุดช่องว่างของตลาด
และทำให้เข้าถึงตลาดในทุกแขนงได้ดีขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับดีลเลอร์จะมีความเป็นส่วนตัวมากและบทบาทของดีลเลอร์ก็เป็นแรงหนุนสำคัญในความสำเร็จแรนซัมส์
ปัจจุบันดีลเลอร์ ยืนกรานที่จะมีสินค้าจำหน่ายให้ครบทุกประเภท และอยากติดต่อกับผู้ผลิตน้อยรายที่สุดเท่าที่จะทำได้
จากการมีสินค้าเสนอครบทุกประเภท เราหวังจะซื้อดีลเลอร์ที่ดีทีสามารถเข้าถึงทางการระดับท้องถิ่นหรือหน่วยงานรัฐบาลอื่น
ๆ ซึ่งบริษัทหรือตัวแทนจำหน่ายที่มีอยู่เดิมไม่มีอิทธิพลหรือมีแต่ก็น้อยมาก
ตัวอย่างเช่น บริษัทไม่สามารถผลิตเครื่องตัดหรือเครื่องตัดหญ้าได้ในทันที
แต่การซื้อหรือผนวกกิจการจะทำให้เราได้ในผลิตภัณฑ์ส่วนนี้มา
แคเมอรอนเห็นว่า การซื้อกิจการของแรนซัมส์ในยุโรปที่ผ่านมาเมื่อไม่นานมานี้
เป็นขั้นตอนบนหลักของความเป็นจริง ในการช่วยเสริมยุทธศาสตรืนี้โดยฤดูใบไม้ร่วงปี
1988 แรนซัมส์ได้ ไบีทีเอส กรีน" บริษัทเอกชน ซึ่งตั้งอยู่ใกล้มอนซาในอิตาลีมาครองบีทีเอสผลิตสินค้าประเภทเครื่องตัดหญ้าแบบหมุนซึ่งขายในอิตาลีและบางส่วนของฝรั่งเศส
แต่แรนซัมส์ก็สร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วนขึ้นมาเองด้วยแห่งหนึ่ง เพื่อเสริมสมรรถนะการผลิตของกิจการสาขาในเมาท์ฟิลด์ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมาก
โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยม เหมาะสมตามหลักการผลิตที่เคยใช้ในเมดเฮด
เช่น ในกระบวนผลิตนั้นแม่พิมพ์อะลูมิเนียมจะถุกส่งเข้ามาทางหนึ่งและถูกส่งออกไปอีกทางหนึ่ง
สู่โรงงานผลิตทีอยู่ถัดไป (ซึ่งเป็นโรงงานที่มีสมรรถนะการผลิตสีส่วนเกินอยู่)
จากนั้นก็เวียนกลับเข้ามาใหม่ โดยวิธีผ่านสายการผลิตขั้นตอนเดียวโดยตรง ก็จะเป็นกระบวนการผลิตที่สมบูรณ์
ถัดมาในเดือนพฤศจิกายน 1988 แรนซัมส์ซื้อ "กร็องจา" บริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหุ้นแห่งฝรั่งเศส
ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทสกร็องจามีโรงงานทีทันสมัยในเมืองตูลูส
ซึ่งผลิตเครื่องตัดหญ้าแบบหมุน อุปกรณ์การทำสวน และอุปกรณ์ทางการเกษตรอื่น
ๆ ซึ่งสามารถขายไปพร้อมกับขอบข่ายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยโรงงานในเมาท์ฟิลด์ได้
แคเมอรอนกล่าวว่า "กร็องจาได้ทำให้แรนซัมส์เข้าถึงธุรกิจแขนงไม่ของตลาดฝรั่งเศส
โดยเฉพาะตลาดทางตอนใต้ และมันยิ่งเป็นเหมือนโบนัส เมื่อได้รู้ว่ากร็องจามีระบบบัญชีและการบริหารอยู่ในระดับแนวหน้า
จากบทเรียนซึ่งแรนซัมส์ได้มาจากการเข้าเทคโอเวรอ์กิจการหลายครั้ง ทำให้แคเมอรอนได้เสนอข้อน่าสังเกตที่น่าสนใจไว้หลายข้อ
ดังนี้
1. ระบบข่าวกรองทางการตลาดมีคุณค่ามากจนมิอาจประเมินค่าได้ และทำให้คุณเป็นฝ่ายได้เปรียบในเชิงแข่งขัน
ในบางบริษัทโดยเฉพาะกิจการระบบครอบครัวอาจจะยังมีการจำกัดข่าวสารกันอยู่
"ในกรณีของเรานั้นโชคดีที่สามารถรับข่าวสารต่าง ๆ ก่อนเพื่อน จากการติดต่อธุรกิจในวงการหลายรูปแบบ
เพราะชื่อเสียงของบริษัทนั่นเอง มันเป็นเรื่องน่าแปลกที่บางครั้งเราได้ผลประโยชน์จากการจัดงานแสดงสินค้าซึ่งเป็นการลงทุนเพียงเล็กน้อย
จากการร่วมดื่มสังสรรค์และทนรำคาญบ้าง แต่เราก็ได้ข่าวเกี่ยวกับบริษัทที่ต้องการขายกิจการด้วยวิธีนี้
และมันทำให้เราก้าวนำหน้าคู่แข่งของเราได้
2. ให้ความสำคัญของการพบปะเจรจากับบริษัทที่เพิ่งซื้อได้
คุณควรไปเยี่ยมชมกิจการของผู้ขายบริษัทให้เพื่อดูว่าคุณต้องการซื้ออะไร
และหากคุณสามารถใช้นักปฏิบัติการทางกฎหมายร่างข้อตกลงเกี่ยวกับขายที่แท้จริงได้
สิ่งนี้จะช่วยคุณได้อย่างมาก
3. บอกให้ผู้ขายกิจการทราบถึงสถานภาพของเขาตั้งแต่เริ่มต้น
ควรมีการอภิปรายกันถึงเรื่องหลักประกันและการคงสถานภาพของบริษัทไว้ โดยเฉพาะในเรื่องของภาษี
ซึ่งจะซับซ้อนมากถ้าหากเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจแบบครอบครัว "เรามักจะบอกถึงข้อผูกมัดของเราในฐานะที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เสมอ
รวมถึงข้อบังคับที่ว่า การติดต่อธุรกิจทุกเรื่องจะต้องรายงานต่อฝ่ายบัญชี
และการต้องระมัดระวังในคำพูดที่มีการเสนอรายงานต่อฝ่ายบัญชีข่ายงานของพวกเขา
ซึ่งเราไม่เคยพบความยกาลำบากในการำทให้ผู้ขายกิจการมีความเห็นสอดคล้องกับเรา
ถ้าให้เขาได้รู้สถานภาพของเขามาตั้งแต่เริ่มต้น แต่คุณต้องไม่ลืมที่จะขายตัวเอง
ซึ่งชื่อเสียงในธุรกิจของเราเรื่องความซื่อตรง และการมีนวัตกรรมในผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ นั้น มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้บริษัทนั้น ๆ เลือกขายกิจการให้เรามากกว่าที่จะคิดเป็นคู่แข่งกับเรา"
4. ค้นให้พบว่าทำไมผู้ขายกิจการต้องการขายบริษัท
"มีหลายครั้งที่เราพบว่า ผู้ขายกิจการไม่ได้บอกหุ้นส่วนถึงความตั้งใจที่จะขายกิจการ
แม้
หุ้นส่วนนั้นจะเป็นคนสนิทสนมกันมากถึงขั้นเป็นภรรยาก็ตาม ซึ่งมันเกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าที่คุณคิด
และจะก่อให้เกิดปัญหาได้คุณไม่ระวังในเรื่องหุ้นส่วนไม่ยินยอมด้วย"
5. ทำให้ผู้ขายกิจการเกิดความเชื่อถือตั้งแต่แรก
ในการร่างข้อตกลงนั้น มักจะมีการซิกแซ็กและอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง และคุณจำ
เป็นต้องสร้างสัมพันธ์ไมตรีขึ้นมาให้ได้ ผู้ขายกิจการทุกรายล้วนต้องการใช้เอกสารน้อยชิ้นที่สุดในการทำสัญญาซื้อขายคืออยากขายเหมาทุกอย่างให้คุณในคราวเดียว
ขณะที่ผู้ซื้อก็สนใจแต่ว่าจะซื้ออะไรบ้าง และจำกัดขอบเขตของข้อผูกมัด จึงต้องการเฉพาะของชิ้นสำคัญแคเมรอนเล่าว่า
"มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันต้องใช้ความสุภาพอย่างมากในการพูดเตือนให้ผู้ขายกิจการรู้ในพันธะของเราในฐานะที่เป็นบริษัทจดทะเบียน
และให้ความมั่นใจกับเขาว่า มันจะไม่ได้หมายถึงการไม่ไว้วางใจหรือเปลี่ยนแก่นแท้ของข้อตกลง
ถ้าคุณพบว่าคุณอยู่ในสถานภาพนี้แล้ว ก็ให้หวังถึงผลที่จะเกิดอย่างมหาศาล
และแม้ว่าคุณจะต้องทำทุกอย่างให้ลุล่วงภายใต้ความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกัน
ก็ขอให้พยายามยิ้มอย่างสุภาพแสดงความเข้าใจกัน เงียบเข้าไว้และอดทน แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีเอง"
6. เลือกที่ปรึกษามืออาชีพที่ดำเนินงานในประเทศที่เกี่ยวข้องเสมอ
เมื่อแรนซัมส์ซื้อกิจการกร็องจาก็ใช้บริการของทนายความชาวบอนดอนที่มีสำนักงานอยู่
ในปารีส แคเมรอนเล่าว่า "สำนักงานทนายความเหล่านี้คิดค่าบริการแพงมาก
แต่ต้นทุนนี้ถอว่าจิ๊บจ๊อยมากเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น จากการร่างสัญยาแบบไม่เอาไหน
ซึ่งสามารถส่งผลถึงงบบัญชีแสดงผลกำไร-ขาดทุนได้ เราจะใช้ทนายชุดนี้ในการซื้อกิจการในอนาคตอีกแน่นอน
และถือว่าพวกเขาเป็นสมาชิกหลักในทีมเจรจาของเราด้วย"
7. ร่างสัญญาด้วยภาษาของผู้ขายกิจการ
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา บริษัทมักเจรจาการซื้อขายด้วยภาษาของผู้ขายกิจการเสมอ
เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเรียกร้องในภายหลังว่า เราตีความผิดความหมาย ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับที่ปรึกษามืออาชีพเพื่อให้แน่ใจได้ว่ามีความเข้าใจภาษาอังกฤษอย่างแจ่มชัดในสิ่งที่กำลังกำเนิดการอยู่
"แต่หากคุณต้องการเอาชนะความคิดที่มันยาก หรือเหมือนอย่างที่ฉันพยายามให้ความสำคัญกับวลีเล็ก
ๆ น้อย ๆ นั้น คงทำไม่ได้ และในท้ายที่สุดมนก็คงออกมาไม่เหมือนอย่างที่ใจของเราอยากให้เป็น
แต่เราก็ต้องยอมรับเหมือนที่ฉันเคยประสบมา"
8. พึ่งที่ปรึกษาของคุณ
แคเมรอนกล่าวว่า ในบางครั้งที่ปรึกษาเหล่านี้อาจมีความเห็นไม่เหมือนกับความคิดของ
ฝ่ายบัญชีหรือทนายความของเรา แต่พวกเขาก็รับค่าจ้างจากเรา และถ้าพวกเขาให้คำแนะนำไม่เอาไหนแก่เรา
เราก็มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้ แต่เราก็พอใจในคุณภาพที่ปรึกษาของเรามาก
เพราะพวกเขามีวิธีพูดหรือจับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ บางครั้งก็สามารถให้คำแนะนำที่อาจทำให้คุณรู้สึกตกใจ
แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องถูกกฎหมายทั้งสิ้น ถ้าจำเป็นพวกเขาก็สามารถเล่นบทผู้ร้ายได้
และเราก็ไม่เคยลังเลที่จะไปซ่อนอยู่ข้างหลังพวกเขา ผู้ขายกิจการอาจไมชอบพวกเขาที่รักษาผลประโยนช์ของคุณอย่างเหนียวแน่นแต่โดยรวมแล้วที่ปรึกษามักจะได้รับความเชื่อถือ
9. หลังซื้อกิจการแล้ว อย่าให้ผู้ขายกิจการบริหารงานต่อไป
แรนซัมส์ก็ทำตามกฎทั่วไปคือ ไม่สนับสนุนให้ผู้ขายกิจการดำรงตำแหน่งผู้บริหารต่อไปใน
ระยะยาวพวกเขาอาจบริหารกิจการต่อไปได้ แต่ต้องในระยะเวลาที่เหมาะสม จนกว่าจะหาผู้สืบทอดตำแหน่งได้
อาจต้องใช้เวลาถึง 6 เดือนหรือมากกว่านั้น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาบ่งบอกว่า
พวกเขาพอใจที่จะเป็นอย่างนั้นและมักจะรู้ด้วยว่า ใครควรจะสืบทอดตำแหน่งต่อไป
10. การให้แน่ใจว่าจะมีคณะกรรมการบริหารมาเยือนกิจการที่เพิ่งซื้อมาใหม่
โดยเฉพาะในวันที่มีการประกาศการซื้อขายอย่างเป็นทางการ
ฝ่ายบริหารการเงินนั้นย่อมต้องการที่จะเข้ามามีบทบาทในบริษัทที่เพิ่งซื้อได้ทันที
เพื่อ
สร้างความมั่นใจในเรื่องของการควบคุม และกระบวนการรายงานฐานะทางการเงินให้เป็นไปตามแผนที่ร่างไว้รวมทั้งต้องการที่จะพบกับผู้ตรวจสอบบัญชีคนก่อน
อาจเป็นการยากที่จะให้ฝ่ายการตลาด ฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์ และฝ่ายผลิต เล็งเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการซื้อกิจการใหม่
แต่หากมีการร่างรายละเอียดของโครงการแล้วพิมพ์ออกเผยแพร่ สิ่งนี้ก็จะช่วยทุกคนในการที่จะรู้ว่าพวกเขามีสถานภาพอย่างไร
การจะรวมตัวเป็นทองแผ่นเดียวกันได้นั้น บางครั้งอาจต้องใช้เวลา จึงต้องให้แน่ใจว่ามี
การวาแผนสำหรับความเปลี่ยนแปลงไว้อย่างครบถ้วน คุณอาจต้องสนับสนุนการซื้อกิจการทั้งด้านการเงิน
และเงินทุนซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการขยายกิจการ ในที่สุดเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว
ทุกคนก็จะเริ่มมองเห็นประโยชน์ที่แท้จริงจากการซื้อกิจการทีมบริหารเอง ก็จะสามารถเริ่มป้อนบางสิ่งบางอย่างเข้าไปในผลิตภัณฑ์ที่จะผลิตในอนาคต
นอกจากนี้ก็สามารถพัฒนาทางการตลาดและผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้ด้วยการใช้เครือข่ายการจัดจำหน่ายของบริษัทแม่ที่มีอยู่ทั่วโลก
แซนดี้ แคเมอรอนตอบท้ายว่า "ผลจากการซื้อกิจการบริษัทเล็ก ๆ สองครั้ง
ทำให้
ขอบข่ายผลิตภัณฑ์ของเราได้ขยายกว้างขึ้น ปัจจุบันเรามีวัตถุดิบของอิตาลีและฝรั่งเศส
ซึ่งเป็นองแท้ไว้ป้อนโรงงานผลิต และได้ยังได้มีการจัดประชุมยุทธวีธีทางการตลาดขึ้นด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นเรารู้สึกซ่าได้เริ่มต้นจากก้าวเล็ก ๆ แต่เป็นก้าวที่สำคัญ
ซึ่งมุ่งเน้นให้ผู้บริโภคของอิตาลีฝรั่งเศสตระหนักว่า แรนซัมส์เป็นบริษัทยุโรปที่มีพันธะต่อตลาดอิตาลีและฝรั่งเศสรวมทั้งมีส่วนร่วมในระบบเศรษฐกิจที่ดี
ของทั้งสองประเทศ