|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ยูนิลีเวอร์ ติดลมบนกลุ่มอาหารโตพรวดเป็นตัวเลขสองหลัก 3 ปีซ้อน ล่าสุดรุดบูมตลาดโจ๊กสำเร็จรูป เท 40 ล้านบาท ส่งสูตรใหม่ “เอนเนอร์จี คัพ โจ๊ก” ชูจุดขายสารอาหารสร้างภาพลักษณ์โจ๊กมีคุณค่าโภชนาการ เจาะกลุ่มแม่บ้านสมัยใหม่ พร้อมอัดกิจกรรม “คนอร์ พลังเด็ก มอร์นิ่งแดนซ์ กับปฏิบัติการ “2อ” หวังกระตุ้นความถี่กินโจ๊กมื้อเช้า สิ้นปีรักษาบัลลังก์ครองแชร์ 82-83%
นายเจอโรม ชาราโชน รองประธานกรรมการบริหาร – กลุ่มธุรกิจอาหารและไอศกรีม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายโจ๊กสำเร็จรูปตราคนอร์ เปิดเผยว่า แนวโน้มกลุ่มอาหารของบริษัทในเอเชียมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยตลาดอาหารนับว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพที่จะเติบโตได้ดีเช่นกัน โดยปัจจุบันกลุ่มอาหารมีอัตราการเติบโตมากที่สุดเมื่อเทียบกับสกินแคร์และโฮมแคร์ ตลอดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมากลุ่มอาหารมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก ปัจจุบันยอดขายกลุ่มอาหารคิดเป็น 20% ของรายได้รวมทั้งหมด
ล่าสุดบริษัทได้นำคนอร์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มอาหารทั่วโลกมาทำตลาดในเชิงรุกมากขึ้น โดยวางแนวทางขยายโปรดักส์ไลน์ใหม่ลงสู่ตลาดอย่างไม่มีขีดจำกัด นำร่องด้วยการบุกตลาดโจ๊กสำเร็จรูปมูลค่า 600 ล้านบาท เนื่องจากเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มอาหารเช้า โดยการเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-20% โดยเมื่อปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโต 14.1% และตัวเลขการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโต15.3% โดยปัจจัยที่ทำให้ตลาดเติบโต เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยมีความเร่งรีบชีวิตประจำวันมากขึ้น
สำหรับแผนการตลาดบริษัทได้ทุ่มงบ 40 ล้านบาท เปิดตัวคนอร์ เอนเนอร์จี คัพ โจ๊ก สูตรใหม่ โดยนำคุณค่าทางโภชนาการหรือวิตามินบีเข้าเป็นจุดขาย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่จากเดิมถูกมองว่าไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้แก่กลุ่มเป้าหมายหลักที่เป็นคุณแม่สมัยใหม่มีลูกอายุตั้งแต่ 11 ปีขึ้นไป โดยปัจจัยการตัดสินใจซื้อจะคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการเป็นหลัก ทั้งนี้นับว่าเป็นครั้งแรกของคนอร์ที่นำในเรื่องสารอาหารมาสื่อสารถึงผู้บริโภค เมื่อเทียบกับการทำตลาดคนอร์ในต่างประเทศ มีการสื่อสารเกี่ยวกับสารอาหารมานานแล้ว
พร้อมกันนี้ยังได้จัดกิจกรรม “คนอร์ พลังเด็ก มอร์นิ่งแดนซ์ กับปฏิบัติการ “2อ” เพื่อรณรงค์ให้เด็กไทยให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย และรับประทานอาหารมื้อเช้า เพราะจากการสำรวจ พบว่า เด็กไทยโดยเฉพาะผู้หญิง 52% ไม่รับประทานอาหารมื้อเช้า และ 60% ไม่ออกกำลังกาย ทั้งนี้กิจกรรมดังกล่าวได้สร้างสรรค์เพลงพร้อมกับท่าประกอบสำหรับการออกกำลังกายของเด็ก โดยจะจัดโรดโชว์ตามโรงเรียน 62 แห่ง และห้างสรรพสินค้า 132 แห่งทั่วประเทศ และแจกสินค้าทดลองชิมกว่า 1 ล้านชิ้น
“นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่โจ๊กสำเร็จรูปคนอร์ออกมาเคลื่อนไหวด้วยการจัดกิจกรรมครั้งใหญ่ โดยจะเริ่มระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเดือนพฤศจิกายน นี้ ทั้งนี้คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1 ล้านคน ขณะเดียวกันยังต้องการกระตุ้นความถี่ในการบริโภคให้เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันการบริโภค 1 ครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น ส่วนการเปิดตัวสูตรใหม่ คาดว่าจะเป็นเรือธงที่มีอัตราการเติบโตสูง เนื่องจากคนไทยมีความคุ้นเคยกับรสชาติดังกล่าวมากกว่า”
นายนริสสา อมรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการพัฒนาการตลาด บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง กล่าวเพิ่มเติมถึงแผนการตลาดว่า เพื่อให้สินค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในง่ายขึ้นสอดคล้องกับกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่หดตัวลง และสามารถกระจายสินค้าในตลาดต่างจังหวัดได้มากขึ้น บริษัทได้ปรับลดราคาบรรจุภัณฑ์ชนิดซองลงจาก 10 บาท เหลือ 8 บาท ด้วยการลดปริมาณจาก 42 กรัม เหลือเป็น 40 กรัม ส่วนขนาดบรรจุภัณฑ์ถ้วยคงราคาเดิม 15 บาท
สำหรับตลาดโจ๊กสำเร็จรูปมูลค่า 600 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกมีมูลค่าคิดเป็น 337 ล้านบาท แบ่งเป็น บรรจุภัณฑ์ถ้วย 70% มีอัตราการเติบโตน้อยกว่าบรรจุภัณฑ์ซองคิดเป็นสัดส่วน 30% มีอัตราการเติบโต 20% โดยยอดขายของคนอร์มาจากบรรจุภัณฑ์ถ้วย 60% และบรรจุภัณฑ์ซอง 40% ขณะที่สัดส่วนยอดขายระหว่างกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 50:50
ทั้งนี้จากการจัดกิจกรรมของคนอร์ บริษัทตั้งเป้าในสิ้นปีนี้จะสามารถรักษาตำแหน่งผู้นำตลาดด้วยการครองส่วนแบ่งตลาดไว้ที่ 82-83% จากส่วนแบ่งรอบล่าสุดครึ่งปีแรกมีส่วนแบ่ง 82.4% ลดลงเมื่อเทียบส่วนแบ่งทั้งปีเมื่อปีที่ผ่านมามี 83% ส่วนมาม่าเพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งทั้งปีเมื่อปีที่ผ่านมา 11.5% เป็น 12.6% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
|
|
|
|
|