|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เคจีไอ ประเมินระดับดัชนีปัจจุบันความเสี่ยงสูง บางส่วนสะท้อนราคาของปีหน้าไปแล้วด้วยซ้ำ เหตุกำไร บจ.ปีนี้ลด3.5% แต่ราคาพุ่งสูงเกินทั้งที่ตามพื้นฐานควรอยู่ที่736 - 790 จุด ชี้จุดน่าหวาดเสียวอยู่ที่ค่าเงินบาทปัญหาหนักใจแบงก์ชาติ ส่วนปีหน้ามีแววสดใสกำไร บจ.โต8.3% คาดดัชนีไปได้ถึง 930 จุด
อดิศักดิ์ คำมูล ผุ้อำนวยการเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ(ประเทศไทย) ประเมินว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ดัชนีหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 675-863 จุดคิดเป็น P/E 11-13 เท่า ทั้งนี้เป็นไปตามแรงผลักดันของเม็ดเงินต่างชาติ แต่การที่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นสูงในปัจจุบันส่วนหนึ่งก็ได้สะท้อนราคาถึงปีหน้าไปพอสมควรแล้ว หากเข้าลงทุนในช่วงนี้ถือเป็นความเสี่ยงมากพอสมควรเพราะราคาหุ้นได้ปรับขึ้นสูงมากแล้ว
อย่างไรก็ตามแม้การเข้าลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศจะเป็นปัจจัยบวกในระยะนี้ แต่ก็นับเป็นปัจจัยเสี่ยงด้วยกรณีที่ตลาดหุ้นจีนได้รับผลกระทบจากนโยบายทางการเงินของรัฐบาลจีน ที่จะทำให้เกิดการถอนการลงทุนออกจากภูมิภาคนี้
ขณะที่ปัจจัยลบในประเทศที่จะเกิดขึ้นและทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงไปทางกรอบล่างคือปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ค่าเงินบาท เงินทุนต่างชาติไหลออกและผลประกอบการต่ำกว่าคาดการณ์
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าโดยเฉลี่ยปีนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยควรจะอยู่ที่ 736 - 790 จุด ซึ่งเป็นระดับเหมาะสมเมื่อเทียบกับผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในปี 2550 คาดว่าจะปรับตัวลดลง 3.5% มาอยู่ที่ 4.70 แสนล้านบาท จากปีก่อนที่มี 4.87 แสนล้านบาท และประเมินว่า จีดีพีจะอยู่ที่ 4% แต่หากมีการใช้จ่ายภาครัฐและการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้จริง ก็คาดว่าจีดีพีจะปรับขึ้นมาเป็น 4.5%
สำหรับราคาน้ำมันดิบในปีนี้เฉลี่ยก็น่าจะสูงกว่า 70 เหรียญ/บาร์เรล สูงกว่าปีก่อนที่มีค่าเฉลี่ย 67 เหรียญ/บาร์เรล ส่วนด้านอัตราดอกเบี้ยก็อาจมีแนวโน้มลดลงได้อีก แต่คงไม่มากนัก
ส่วนอีกปัจจัยที่น่ากังวลก็คือค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น เนื่องจากการบริหารนโยบายการเงินของแบงก์ชาตินั้น ยังไม่ยอมที่จะให้ค่าเงินบาทมีการเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดซึ่งถือว่าอันตรายและอาจจะนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจแบบเงียบ
"เข้าใจว่าแบงก์ชาติก็พยายามจะจัดการเรื่องการแข็งของค่าเงินบาทอยู่ ซึ่งเป็นปัญหาที่ยากมาก เพราะหากยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30%เงินบาทก็อาจจะแข็งพอๆกับอัตราแลกเปลี่ยนออฟชอร์ที่ใกล้30บาท กระทบด้านตัวเลขการส่งออกซึ่งจะไปกระทบต่อจีดีพีอีกทอดหนึ่ง แต่หากไม่ยกเลิกก็ต้องฝืนธรรมชาติมีภาระต้องแทรกแซงไปเรื่อยๆ สำหรับโดยส่วนตัวแล้วยังเชื่อว่าแบงก์ชาติคงไม่มีทางยกเลิกมาตรการกันสำรองง่ายๆตราบใดที่เห็นว่าผู้ประกอบการส่งออกไม่สามารถแข่งขันได้ด้วยตัวเอง"
ทางด้านดัชนีของปีหน้าคาดว่าจะปรับขึ้นสู่ระดับ 930 จุด ภายใต้ประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน 8.3% นำโดยกลุ่มพลังงานที่คาดว่าจะเติบโต 5.5% กลุ่มธนาคารเติบโต 21.3% กลุ่มสื่อสารเติบโต 11.1% กลุ่มวัสดุก่อสร้าง 5.1% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 5.1% โดยปัจจัยบวกสำหรับตลาดหุ้นไทยยังเป็นเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศเช่นเดียวกับปีนี้ ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่แนะนำให้ติดตามคืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจีน ซึ่งหากจีดีพีจีนในปีหน้าโตต่ำกว่า 10% จะทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนและกระทบต่อตลาดหุ้นทั้งภูมิภาค
|
|
|
|
|