Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์16 กรกฎาคม 2550
ตลาดหุ้นร้อน-เศรษฐกิจไม่กระเตื้องกลุ่มการเมืองผสมโรง "ASCON"เดินเครื่อง             
 


   
www resources

โฮมเพจ แอสคอน คอนสตรัคชั่น

   
search resources

Stock Exchange
แอสคอน คอนสตรัคชั่น, บมจ.




เงินร้อนต่างชาติไหลเข้าไทย กลายเป็นยาขมผู้ส่งออกหลังบาทแข็งหลุด 34 บาท แถมดัชนีตลาดหุ้นยังถูกบิดด้วยหุ้นกลุ่มพลังงาน น้ำมันยิ่งขึ้น หุ้น-ดัชนียิ่งพุ่ง แต่กำลังซื้อของคนยิ่งหด นักวิเคราะห์ได้แค่สงสัยอาจมีกลุ่มอำนาจเดิมผสมโรงสวมรอยต่างชาติ หาทุนรับเลือกตั้ง

ท่ามกลางการคาดการณ์ของบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดหุ้น ที่ทำนายกันว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเดินหน้าไปสู่ระดับ 1,000 จุดในอีกไม่ช้า หลังจากที่นักลงทุนต่างประเทศดาหน้าขนเงินเข้ามาลุยตลาดหุ้นไทยเฉพาะแค่ 7 วันทำการของตลาดหุ้น นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิไปแล้ว 2.67 หมื่นล้านบาท ดันดัชนีจาก 776.79 จุดเมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นมา 81.66 จุดหรือ 10.5% จนดัชนีมายืนที่ 858.45 จุด และมีทีท่าว่าจะทำสถิติเหนือจุดสูงสุดในปี 2540 อีกในไม่ช้า

ทั้งนี้เป็นผลมาจากเม็ดเงินต่างชาติที่ทะลักเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นหากนับตั้งแต่ต้นปี สูงถึง 1.24 แสนล้านบาทเข้าไปแล้ว ขณะที่ค่าเงินบาทได้แข็งค่าจากระดับ 36.04 บาทในวันสิ้นปีจนถึง 9 กรกฎาคม 2550 ค่าเงินบาทในประเทศหลุดลงมาอยู่ที่ 33.918 บาทตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศในวันที่ 10 กรกฎาคมเคลื่อนไหวที่ 31.20-31.35 บาทต่อดอลลาร์

หุ้นแรงพื้นฐานไม่เปลี่ยน

"จริง ๆ แล้วปัจจัยพื้นฐานของตลาดหุ้นไทยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก แต่เป็นผลจากเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศที่หันมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากราคาหุ้นของไทยค่อนข้างต่ำเพื่อนบ้าน ขณะเดียวกันหลังจากธนาคารกลางสหรัฐคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 5.25% และเงินดอลลาร์มีทิศทางอ่อนตัวทำให้นักลงทุนต่างประเทศต้องเร่งซื้อหุ้น" ผู้จัดการกองทุนต่างประเทศกล่าว

กลุ่มที่เข้ามาถือเป็นเป็นกลุ่มที่ต้องการเข้ามาเก็งกำไรทั้งค่าเงินบาทและตลาดหุ้นไทย หลังจากนั้นจะเป็นกองทุนรวมต่างประเทศที่จะเข้าตามมา ส่วนจะเข้ามานานแค่ไหนคงต้องเทียบจากราคาหุ้นไทยเทียบกับเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศได้โยกการลงทุนจากจีนและสิงคโปร์มาประเทศไทยเนื่องจากราคาหุ้นใน 2 ประเทศนี้ปรับเพิ่มขึ้นมาก

บาทแข็งกำลังซื้อหด

ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์มหภาคกล่าวว่า หุ้นขึ้นเป็นเพียงแรงซื้อของต่างชาติที่โหมเข้ามาซื้อหุ้นเท่านั้น และตลาดหุ้นไทยที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงไม่ได้หมายความว่าเศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้น เพราะปัจจัยพื้นฐานเรายังเหมือนเดิม เห็นได้ชัดจากยอดการขายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ยอดขายลดลง

ที่สำคัญคือหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อมักเป็นหุ้นขนาดใหญ่ นั่นคือกลุ่มพลังงานที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังสูงกว่า 72 เหรียญต่อบาเรล โดยหุ้นกลุ่มนี้มีมูลค่าราว 30% ของตลาดรวม ดังนั้นเมื่อต่างชาติไล่ซื้อหุ้นกลุ่มนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จึงปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

"ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จึงไม่สามารถนำมาสะท้อนถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศไทยได้"

ในแง่ของผู้ลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว หุ้น ปตท.ราคาสูงถึง 308 บาทอาจจะสร้างกำไรให้กับผู้ที่ถือหุ้นตัวนี้ การที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นราคาหุ้นปตท.ก็น่าจะเพิ่มขึ้นนั้นถือว่าเป็นเหตุเป็นผลกัน แต่ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นเช่นน้ำมันดีเซลที่ปรับขึ้นเป็น 25.74 บาท ถือว่าไม่ใช่เรื่องดีสำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ เพราะราคาน้ำมันสูงขึ้นอาจจะส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อที่มีผลต่อทิศทางของอัตราดอกเบี้ยในประเทศ รวมถึงต้นทุนของผู้ประกอบการและต้นทุนภาคประชาชนต้องเพิ่มขึ้นตามมา กลายเป็นแรงกดดันต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของผู้คน กำลังซื้อของคนในประเทศอาจมีน้อยลงกว่าเดิม

นอกจากนี้เม็ดเงินจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยังทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าตามมาเกือบ 6% ภายในช่วง 7 เดือน กระทบต่อภาคการส่งออก ขณะที่ทุนสำรองของทางการก็เพิ่มขึ้นมามากกว่า 1 แสนล้านบาท ถือว่าไม่ใช่สัญญาณที่ดีสำหรับการมีเงินระยะสั้นเข้ามามาก ๆ

ASCON ปรับทัพ

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์รายหนึ่งกล่าวว่า เงินจากต่างชาติที่เข้ามานั้นตอบไม่ได้ว่าเป็นเงินจากฝรั่งผมทองหรือผมดำ แต่ดูเหมือนว่าความร้อนแรงของตลาดหุ้นไทยเริ่มในช่วง 2 กรกฎาคมหลังจากที่อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยแยกกันแถลงข่าวระหว่างจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตหัวหน้าพรรคกับแกนนำอย่างสุดารัตน์ เกยุราพันธ์และเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ ชินวัตร พร้องด้วยกระแสข่าวถึงพรรคใหม่ที่มีชื่อของสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นหัวหน้าพรรค

หลายคนอาจมองว่าการกลับมาของอำนาจเดิมเกิดการแตกแยกและอ่อนแอลง และสถานการณ์ทางการเมืองทางรัฐบาลน่าจะควบคุมได้ จึงมีแรงซื้อจากต่างชาติเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เราบอกไม่ได้ว่ามีเงินของกลุ่มอำนาจเดิมที่อยู่ในต่างประเทศเข้ามาผสมโรงเพื่อหาเงินเตรียมเลือกตั้งหรือไม่

แต่หุ้นใหญ่ ๆ ที่ชี้นำดัชนีอย่าง PTT,PTTEP,TOP และ IRPC ที่คาดการณ์ว่ากลุ่มอำนาจเดิมมีการถือหุ้นโดยใช้นอมินีต่างประเทศ ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นราว 14-17.6%

อย่างไรก็ตามแม้จะไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าช่วงที่ภาวะหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง กลุ่มอำนาจเก่าได้ใช้จังหวะนี้เข้ามาสร้างกำไรจากราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้น แต่ที่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมนั่นคือการขายหุ้นในบริษัท แอสคอน คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASCON ของผู้ถือหุ้นใหญ่เมื่อ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา

โดย พัฒนพงษ์ ตนุมัธยา ได้ขายหุ้นสามัญจำนวน 5,000,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.5 ของทุนจดทะเบียนและเรียกชำระแล้วของบริษัท วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ ขายหุ้นสามัญจำนวน 3,500,000 หุ้น คิดเป็น 1.75% และเจริญรัฐ วิไลลักษณ์ ได้ขายหุ้นสามัญจำนวน 1,500,000 หุ้น หรือ 0.75% โดยทั้งหมดขายให้กับทวีฉัตร จุฬางกูร รวมแล้ว 10 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 11.60 บาทเป็นเงิน 116 ล้านบาท

แม้บริษัทนี้จะไม่ปรากฏบุคคลที่มีนามสกุลวงศ์สวัสดิ์ถือหุ้นใหญ่ แต่เป็นที่ทราบกันดีว่ากลุ่มวงศ์สวัสดิ์เคยร่วมบุกเบิกบริษัทแห่งนี้มาร่วมกับกลุ่มตนุมัธยา แต่ได้มีการขายหุ้นออกไปภายหลัง โดยกลุ่มที่เข้ามาซื้อต่อได้แก่กลุ่มวิไลลักษณ์ เจ้าของบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAMART ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับการขายหุ้นบริษัท ทราฟฟิกคอร์นเนอร์โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TRAF ที่กลุ่มสามารถเข้าไปรับช่วงเช่นเดียวกัน

แม้ผู้ที่รับซื้ออย่างทวีฉัตร จุฬางกูร จะไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองและเป็นนักลงทุนรายใหญ่คนหนึ่งที่ลงทุนซื้อขายหุ้นทั่วไป ถือหุ้นตัวนี้อยู่ก่อนแล้ว 9.75% แต่ทราบกันดีว่านักลงทุนรายนี้คือหลานของสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย

แต่เพียงแค่การเปลี่ยนมือจากกลุ่มตนุมัธยาและวิไลลักษณ์มาสู่ทวีฉัตร จุฬางกูร ก็ทำให้หุ้นตัวนี้เริ่มคึกคักขึ้นมาทันตาจากการซื้อขายหลักสิบล้านบาทต่อวันเพิ่มขึ้นมาเป็นเฉียด 300 ล้านบาทเมื่อ 10 กรกฎาคม ราคาหุ้นก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงถึง 12.70 บาทเพียงแค่ 1 วันทำการ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us