บัญชีดำของนักค้าของเถื่อนไทย-มาเลย์นั้นมีอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนหลายสิบชื่อทั่วทุกจังหวัดสำหรับรายใหญ่
และมีเป็นจำนวนนับร้อยนับพันสำหรับรายเล็กรายน้อย ตลอดแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย
ไม่ว่าจะเป็นด้านปาดังเบซาร์ สะเดา ลังกาวี เบตงหรือสุไหงโกลก แต่บัญชีดำก็ยังคงเป็นบัญชีดำ
โดยเฉพาะเมื่อแรกเริ่มยุค รสช.นั้น บรรดาฝ่ายตรงขัามของนักค้าเถื่อนออกจะตื่นเต้นดีใจกับการเอาจริงเอาจังในการปราบคนทำผิดกฎหมาย
แต่นานวันเข้าทุกอย่างก็ทำท่าเหมือนเดิม ไม่ว่าจะรสชงหรือไม่รสช. และสำหรับบัญชีดำของการค้าของเถื่อน
ทางด้านปาดังเบซาร์นั้น 2 ชื่อนี้อยู่ในลำดับต้น ๆ ของบัญชีที่มีชื่อไล่เรียงไม่ต่ำกว่า
10 ชื่อ
"เกี๊ยะ ทุ่งลุง" และ "ซู้ ท่าข่อย"
ซึ่งต่อไปนี้คือคำให้การบางส่วนของเขาและเธอ
ซู้ ทำข่อย
เขาบังคับให้ผมค้า
หัวรุ่งของวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา โกลาหลกันหลายจุดในปาดังเบซาร์ เนื่องมาจากการบุกเข้าทำการกวาดล้าง
"เส้นสาย" ของนักค้าของหนีภาษีชายแดนด้านนั้น โดยกำลังร่วมของหน่วยเฉพาะกิจทหารตำรวจ
ซึ่งนำโดยพ.ต.ท.ถาวร ภูมิสิงหราช ตามคำสั่งของ พล.ต.ต.อัยรัช เวสสะโกศล รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร
4 ฝ่ายกิจการพิเศษ-คนที่มีข่าวลือกัน บรรดานักค้าของเถื่อนทั้งหลายกำลัง
"ลงขัน" ให้ถูกย้ายออกจากพื้นที่ภาคใต้ เนื่องจากพล.ต.ต.อัยรัชตั้งหน้าตั้งตาปราบนักค้าของเถื่อนอย่างหนัก
1. ในบรรดาผู้ที่ถูกกระทบในคืนรุกฆาตคืนนั้นคือ "ซู้ ท่าข่อย"
นอกเหนือจากนักการเมืองท้องถิ่นที่โดนค้นบ้านพบปืนเถื่อน ซึ่งมีชื่อว่าพัวพันกับขบวนการค้าของเช่นกัน
โดยทำหน้าที่คุมสายคุ้มกันขบวนในย่านนั้นทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม ภาพที่ได้ก็ไม่ชัดเจนเหมือนภาพของซู้
"ซู้ หรือ ซู ท่าข่อย" ที่บรรดานักปราบการค้าของหนีภาษีชายแดนไม่มีใครไม่รู้จักนั้นมีชื่อจริงว่า
สุวิทย์ แซ่ตึ้ง ชื่อเดิมว่า ซู้ แซ่ตึ้ง เกิดปีมะแม ปัจจุบันอายุ 49 ปี
พื้นเพเป็นลูกจีนจากอำเภอปากพยูน จังหวัดพัทลุง ชีวิตกดดันมาตั้งแต่วัยเด็ก
ยากจนและรู้สึกว่าตนถูกกดขี่ เรียนหนังสือสูงสุดแค่ชั้นป.3 อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
ไม่ว่าภาษีไหนทั้งนั้น แล้วพระเจ้าก็ลิขิตให้ซู้ระเหเร่ร่อนมาจนถึงปาดังเบซาร์
ซู้เริ่มต้นด้วยการรับจ้างทำงานก่อสร้าง และเช่นเดียวกับคนไทยเรือนหมื่นเรือนแสนตามแนวชายแดน
ถ้ามีโอกาสก็ต้องหิ้วของข้ามแดน เพราะของอีกฝั่งนั้นมันถูกยั่วใจ เขาถูกจับจากการขนอิทผลัม
ผลไม้จากตะวันออกกลางที่ราคาแพงสมัยนั้นเพียง 3 กิโลกรัมด้วยเหตุนั้นทำให้ชีวิตเขาหันมาค้าอย่างเอาจริงจัง
ด้วยความที่อยู่ในวัยฉกรรจ์และฤทธิ์ที่ไม่ยอมใคร คนที่รู้จักเขามาไม่ต่ำกว่า
20 ปีบอกว่า
"ไอ้ซู้มันมุทะลุดุดัน สมัยหนุ่ม ๆ ใครพูดไม่ถูกหู มันต่อยเลย"
ซู้นั้นเรียกได้ว่าเป็นคนกว้างขวางอยู่ย่านท่าข่อย เพราะแต่งงานกับสาวแห่งครอบครัวที่คนนับหน้าถือตาของท่าข่อย
- พธู และเลือกที่จะกลบฝังตัวเองอยู่ที่นี่
ท่าข่อยในอดีตนั้นถือได้ว่าเป็นพื้นที่สีแดง อยู่ภายใต้การคุ้มครองของโจรจีนคอมมิวนิสต์
ครอบครัวของภรรยาซู้นั้นตั้งรกรากอยู่ที่นี่นาน นานจนมีเสียกล่าวว่าโจรจีนก็ยังนับหน้าถือตา
ช่วงหนึ่งของชีวิตของซู้ ประมารปี 19 มีข่าวว่าเขาเข้าเป็นหัวดจกเข้าปล้นน้ำตาลที่ถูกจับไว้ที่โกดังของศุลกากรปาดังเบซาร์
จนเขาต้องหนีหายไปจากหมู่บ้านนานถึง 7 ปี ยุคนั้นข่าวของทางการปรากฏว่า "ซู้เข้าป่า"
แต่เจ้าตัวบอกว่าแค่ระเหเร่ร่อน แต่แล้วก็กลับมามอบตัวสู้คดี-จนชนะ
ถนนลูกรังสายท่าข่อย-คลองรำที่ตัดผ่านหน้าบ้านเลขที่ 83/3 หมู่ที่ 3 ของซู้นั้นขึ้นขื่อว่าเป็นถนนสายสำคัญของนักค้าของหนีภาษี
ซึ่งเขาภูมิใตนักว่าถนนนี้เขาสร้างมันมากับมือด้วยการระดมแรงจากชาวบ้านและมันกลายเป็นถนนเศรษฐกิจสายสำคัญ
เขายอมรับเองว่าเมื่อก่อนเขาก็ขนของเถื่อนเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ แต่ภายหลังจากถูกจับเรื่องขนเม็ดพลาสติกและสู้คดีชนะอีกครั้ง
นับแต่นั้นเขาก็เริ่มพัฒนาตัวเองมาเสียภาษี เขาถือว่าเขาทำถูกกฎหมายแล้ว
แม้ว่าจะมีเสียงว่านั่นคือสิ่งที่นักค้าเขาเรียกว่า "ภาษีหมุนเวียน"
คือเสียภาษีบางส่วนและก็ใช้ใบเสียภาษีนั้นเวียนด้วยการร่วมมือของเจ้าหน้าที่รัฐว่าจะให้เวียนได้นานแค่ไหน
เวียนนานมากผลกำไรก็มากจากการลงทุนเพียงครั้งเดียว
ซู้ได้รับความร่วมมือในเรื่องนี้อย่างดีทั้งจากนายทุนไทยและนายทุนมาเลย์
ซู้นั้นสนใจไปหมดตั้งแต่เครื่องอุปโภคบริโภค เครื่องไฟฟ้า จนถึงเม็ดพลาสติก
และไม่เพียงเส้นทางปาดังฯ-หาดใหญ่เท่านั้นซู้เดินทางไกลถึงกรุงเทพฯ หรือไกลกว่านั้น
ก่อนหน้าถูกค้นบ้านที่ท่าข่อยครั้งนั้น ซู้เพิ่งโดนจับของที่สมุทรปราการเมื่อกลางเดือนมิถุนายน
และของที่ถูกจับครั้งนี้เป็นของที่เพิ่งเคลียร์ลงมาได้จากด่านศุลกากรปาดังเบซ่าร์
ไม่ว่าเขาจะหันมาเสียภาษีทำตัวช่วยเหลือสังคม และชุมชนเพียงใดก็ตาม แต่ชื่อของซู้ก็ถูกประทับตราและขึ้นบัญชีดำไว้เรียบร้อยว่าเป็นนักค้าของหนีภาษี
บาปนี้ของซู้ดูท่าจะล้างหมดยาก หลายคนที่จับตาดูซู้อยู่เชื่อว่าเขาจะต้องยกระดับขึ้นเป็นนักการเมืองท้องถิ่น
แต่ว่าเป็นนักค้าของหนีภาษี บาปนี้ของซู้ดูท่าจะล้างหมดยาก แต่ซู้ปฏิเสธ
"ผู้ใหญ่บ้านผมยังไม่ยอมเป็น" แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือซู้คบนักการเมือง
หลายคนเรียกถนนหน้าบ้านซู้ว่า "ถนนไตรรงค์" ไตรรงค์ สุวรรณคีรี
แห่งพรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นส.ส.ในเขตนั้น
ซู้บินกลับจากกรุงเทพฯ ทันทีในคืนวันที่ 13 กรกฎาคม เพื่อประกันตัวภรรยาในวงเงิน
2 แสนบาทและชีวิตหลังจากวันนั้นของซู้คือเทียวไปมาระหว่างบ้านกับสถานีตำรวจตำบลปาดังเบซาร์
พยายามทุกทางที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่าของราคาเรือนล้านของเขาที่ส่วนใหญ่เป็นเครื่องเล่นวิทยุและอะไหล่รถยนต์นั้นเสียภาษีถูกต้อง
ท่าทางเขาเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า.....เรื่องของซู้ยังไม่จบ
เกี๊ยะ ทุ่งลุง
เขาหาว่าฉันเป็นเจ้าแม่
ในบรรดานักค้าของหนีภาษีบนเส้นทางปาดังเบซาร์ถึงหาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นรายเล้กหรือรายใหญ่ไม่มีใครไม่รู้จัก
"เจ๊เกี๊ยะ" โดยเฉพาะบรรดาเจ้าหน้าที่ศุลกากรและตำรวจ แต่ให้ลึกลงไปกว่านั้นคนที่วางรากฐานให้กับเจ๊และโด่งดังยิ่งในอดีตคือ
"โกฮิ้น"-บุญสิน ฉายารจิตพงศ์ สามีของเจ๊เกี๊ยะนั่นเอง
โกฮิ้นและเจ๊เกี๊ยะถือได้ว่าเป็นยุคบุคเบิกของการค้าของเถื่อนทางชายแดน่ด้านนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสันก็ว่าได้
แต่ระยะหลังโกฮิ้นวางมือเพราะเบื่อหน่ายกับการเล่น "โปลิศจับขโมย"
มาครึ่งค่อนชีวิต และปล่อยให้ศรีภรรยาเดินเครื่องแทน
เจ๊เกี๊ยะหรือคนึงกิจ ฉายารจิตพงศ์ เป็นคนชุมพรก่อนที่จะมาตั้งรกรากอยู่ที่สงขลาและแต่งงานกับฮิ้น
ปัจจุบันอายุ 48 ปีและเกือบครึ่งชีวิตของเธอนั้น พัวพันอยู่กับการค้าของหนีภาษีกิตติศัพท์เกี่ยวกับเจ๊เกี๊ยะในทัศนะของนักปราบการค้าของเถื่อน
ระบุว่าเธอเป็นรายใหญ่ทีมีส่วนแบ่งในตลาดหาดใหญ่ถึง 30% และ "ภาพ"
ของเธอที่บอกเล่าต่อ ๆ กันมานั้นคือภาพของเจ้าแม่นักค้าของเถื่อนที่ดุร้าย
แต่ภาพที่ "ผู้จัดการ" ได้เห็นนั้นเป็นภาพของแม่บ้านที่ออกจะแต่งตัวจัดกว่าคนอื่น
ๆ ในย่านเดียวกัน แต่เธอพูดน้อยแม้ว่าคนใกล้ชิดจะออกปากว่า "ไอ้นี่ปากร้าย"
แต่เธอก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนใจถึงรักพวกรักพ้อง ใครเป็น "เด็ก" ของเธอ
ๆ จะดูแลอย่างถึงที่สุด จากจุดนี้นี่เองอาจกล่าวได้ว่าเจ๊เกี๊ยะคือภาพ "นางมารร้าย"
ในสายตาของนักปราบค้าของเถื่อนจำนวนหนึ่ง เพราะในการปราบปรามาบางครั้งสถานการณ์ได้พัดพาไปจนเกิดโศกนาฎกรรมขึ้น
คือเกิดการสูญเสียถึงขั้นชีวิตของศุลกากร แม้ว่าทางนักค้าอ้างว่าไม่ต้องการให้สถานการณ์เลวร้านถึงขั้นนั้น
แต่สถานการณ์ก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ เมื่อมีการสูญเสียเจ้าหน้าที่ของรัฐ มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกต่อไปและไม่จำกัดวงแค่ปัญหาอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเท่านั้น
มันกลายเป็นเรื่องฆาตกรรมหรือพยายาม"า....สิ่งเหล่านี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนปราบกับคนถูกปราบนับวันมีแต่จะร้อนแรงขึ้น
แม้จะไม่รู้จุดจบจะอยู่ที่ตรงไหน
เจ๊เกี๊ยะบอกว่าใจจริงนั้นอยากวางมือเช่นเดียวกับสามีแต่ภาะจำเป็นมันบังคับโดยเฉพาะลูกยังเรียนหนังสืออยู่
ครอบครัวนี้มีลูก 5 คน มีอีกบางคนที่เล็ก นี่คือเหตุผลที่ทำให้เจ๊เกี๊ยะเธอเลยวางมือยังไม่ได้
แถมคนที่อยู่เป็นมือเป็นเท้าให้กับเธอเล่าจะทอดทิ้งไปเฉย ๆ ได้อย่างไร คนกลุ่มนี้มีเป็นเรือนร้อยบนเส้นทางค้าปาดังฯ-หาดใหญ่
แม้ในช่วงที่มีการปราบหนักและการค้าด้านนี้ซบเซา แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่เดินหน้ามาของานด้านนี้ทำ
บ้างก็เคยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาก่อน
"พวกเขาชอบหาว่าฉันเป็นเจ้าแม่" เธอบ่นแต่หน้าฉาบยิ้ม
ครอบครัวฉายารจิตพงศ์นั้นถือได้ว่าพื้นเพเป็นคนมีอันจะกินของทุ่งลุง-เขตรอบนอกของอำเภอหาดใหญ่
มีทั้งที่ดินและสวนซึ่งเป็นมรดาตกทอดมิใช่ได้มาด้วยการค้าของเหล่านี้ ซึ่งแม้ไม่ประกอบอาชีพเช่นนี้เป็นอยู่นี้ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าไม่มีกิน
แต่เมื่อก้าวล่วงเข้าสู่กลไกนี้เสียแล้วก็ยากที่จะสลัดหลุด หลายครั้งที่เคยคิดหนีไปประกอบธุรกิจอื่น
แต่ความที่ธรรมชาติที่นี่คือเมืองชายแดนที่สินค้าหนีภาษีทะลักเข้ามาเหมือนสายน้ำไร้เขื่อน
ธุรกิจใดในขอบเขตปริมณฑลนี้ก็อยากที่จะพ้นในเรื่องนี้ไปได้ ท้ายที่สุดก็เข้าตำรวจว่าหนีไม่พ้นยิ่งดิ้นรนยิ่งผูกมัด
เส้นทางการค้าของเจ๊เกี๊ยะนั้นเคยยาวถึงกรุงเทพเช่นกัน ในทุกเส้นทาง รวมทั้งการขนทาเรือขึ้นที่ประจวบคีรีขันธ์หรือชลบุรี
โดยเฉพาะสมัยที่โกฮิ้นผู้สามียังคงเอาการเอางานในเรื่องนี้อยู่ แต่ปัจจุบันก็หดสั้นเหลือเพียงแต่ชายแดนถึงหาดใหญ่
เพราะ "สู้ค่าใช้จ่ายบนเส้นทาง" ไม่ไหวและเคยทำแบบปะปนแบบ "วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง"
แบบที่ซู้กำลังเดินอยู่ขณะนี้เหมือนกัน แต่ก็สู้ไม่ไหวอีกนั่นแหละ เพราะโดนจับครั้งหนึ่งเสียหายมาก
ท้ายที่สุดก็เดินหน้าแบบดิบ ๆ นี้เป็นดีที่สุด
กลางเดือนกรกฎาคมปีนี้ถือเป็น "ระยะพักร้อน" ของเจ๊เกี๊ยะและพวกด้วยความอนุเคราะห์ของหน่วยเฉพาะกิจที่ลุกขึ้นมาเอาจริงเอาจัง
แต่ไม่ว่าประโยคต่อไปนี้ใครจะคิดอย่างไร แต่มันออกจากปากของเธอเองว่า....
"ฉันอยากเลิก"
แต่ก็คงไม่ต่างจากที่แล้ว ๆ มานั่นก็คือยังเลิกไม่ได้ มันไม่ใช่เพียงลำพังตัวเธอเท่านั้นแต่มันเกี่ยวพันถึงคนอีกจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
และไม่ใช่ลำพังฝั่งไทยเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงนายทุนมาเลเซียอีกด้วย
คำถามมีว่าแล้วเส้นทางอย่างของ "เกี๊ยะ" และ "ซู้"
นี้จะไปจบสิ้นเอาเมื่อใด
คำตอบที่เหมือนกำปั้นทุบดินก็คือ เมื่อของฝั่งมาเลเซียไม่ถูกกว่าฝั่งไทย
หรือมีความต่างกันเล็กน้อยไม่คุ้มค่าขน เมื่อนั้นขบวนการค้าของเถื่อนข้ามแดนก็จะจบไปโดยปริยาย
เรื่องราวของเขาและเธอก็จะกลายเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันรอบวงน้ำชาเท่านั้น