ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดในทางหลักการถึงพฤติกรรมความผันผวนของราคา และการซื้อขายในตลาดการลงทุนหุ้นกรุงเทพ
ว่าตัวการสำคัญมาจากอิทธิพลของนักลงทุนรายย่อยที่กระจัดกระจาย และเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง
2 ปีที่ผ่านมา หรือว่านักลงทุนจากต่างประเทศประเภทรายใหญ่ ๆ ที่แห่แหนกันเข้ามาลงทุนเข้า
- ออกอย่ามากมายในช่วงระยะเวลาเดียวกัน
การแสวงหาข้อยุติถึงประเด็นความผันผวนดังกล่าว ว่ากันจริงแล้วมักเป็นหัวข้อสำคัยของตลาดหุ้นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะที่มักหยิบขึ้นมาพูดจากัน
ทั้งที่ก็รู้อยู่กันดีกว่าปรากฏการณ์ความผันผวนในหลาย ๆ ด้านที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น
มันเป็นส่วนหนึ่งที่ผสานกลมกลืนไปกับธรรมชาติของความเป็นตลาดหุ้นไปแล้ว
ความแตกต่างของตลาดหุ้นที่บรรลุนิติภาวะแล้วกับยังไม่บรรลุจริง ๆ แล้วมันอยู่ที่ดีกรีความผันผวนต่างหากว่ามีมากน้อยต่างกันเท่าไร
ประเด็นสำคัญมันจึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้ตลาดหุ้นไทยมีดีกรีความผันผวนเกิดขึ้นน้อยที่สุด
ฝ่ายที่เชื่อว่านักลงทุนรายย่อยมีอิทธิพลต่อการสร้างความผันผวน ก็พยายามชี้ว่า
นักลงทุนรายย่อยตัดสินใจลงทุนตลาดหุ้นเพราะเห็นว่าให้ผลตอบแทนกว่าการลงทุนในตลาดการเงินแม้จะมีความเสี่ยงสูงกว่าก็ตาม
แต่เนื่องจากนักลงทุนรายย่อยมักไม่มีความรู้สูงพอที่จะขวนขวายหาข้อมูลและวิเคราะห์หาเหตุผลเชิงพื้นฐานของหุ้นที่ลงทุนได้
จึงหันมาลงทุนด้วยพฤติกรรมอาศัยข่าวเป็นตัวตัดสินชี้นำการลงทุน และด้วยเหตุที่ตลดาหุ้นคือศูนย์กลางที่เป็นธรรมชาติของการปล่อยข่าวเพื่อการปั่นราคา นักลงทุนรายย่อยจึงตกอยู่ภายใต้กระแสการครอบงำของข่าวอย่างช่วยไม่ได้
ดังนั้นการแสวงหาหนทางเพื่อทำให้ดีกรีความผันผวนของตลาดหุ้นมีน้อยที่สุด
ก็มักจะอยู่บนตรรกะของการเสอนรูปแบบความคิดและมาตรการส่งเสริมการเรียนรู้ขอมูลปัจจัยพื้นฐานของหุ้นให้กับนักลงทุนรายย่อย
และพยายามสอดแทรกปรัชญาพฤติกรรมการลงุทนเพื่อหวังผลระยะยาวมากกว่าระยะสั้น่
ส่วนฝ่ายที่เชื่อว่าความผันผวนมาจากอิทธิพลนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ ก็เนื่องมาจากว่าพฤติกรรมการลงทุน
เป็นตัวกำหนดทิทางการลงทุนของนักลงทุนรายย่อยในตลาด ปรากฏการณ์ของสิ่งนี้พิจารณาจากตัวชี้
2 ประการคือ หนึ่ง - ตัวหุ้นที่เล่น สอง - การเข้า-ออกตลาดเป็นตัวกำหนดภาวะปริมาณการซื้อขายแต่ละวัน
หนทางการสร้างดีกรีความผันผวนให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด มองจากส่วนนี้อยู่ที่การส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในรูปสถาบันหรือกองทุน
แม้ปัจจุบันเชื่อกันว่า สัดส่วนการลงทุนหมุนเวียนซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นแต่ละวันของต่างชาติ
จะอยู่ในรูปของสถาบันหรือกองทุนถึงครึ่งหนึ่งก็ตาม
ประเด็นมันจึงอยู่ที่ว่าการที่ต่างชาติในรูปสถาบันลงทุน ยังไม่สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนซื้อขายหุ้นแต่ละวันจากที่เป็นอยู่ได้เพราะเหตุไร
การแสวงหาเหตุผลนี้ สามารถมองผ่านผลการวิเคราะห์ข้อจำกัดการลงทุนของต่างชาติ
ในตลาดหุ้นไทยที่บรรดาผู้จัดการการลงุทนของบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของโลกได้แสดงไว้ในโอกาสที่บริษัท
"บริการข้อมูลผู้จัดการ" ได้จัดสัมมนาขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม ซึ่งประกอบด้วยฮิเดอากิโอตะจากบริษัทหลักทรัพย์ยามาอิชิ
ทาซูฮิโก๊ะ ทากาฮาชิจากไดวา และเกรแฮม แคทเธอเวลจากครอสบี้
พวกเขาชี้ให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติในรูปสถาบัน และส่วนบุคคลปัจจุบัน
และมองไปในอนาคตอันใกล้เริ่มมีทางเลือกในตลาดการลงทุนในหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น
เงินลงทุนจากต่างประเทศเริ่มเคลื่อนย้ายไปสู่ภูมิภาคแถบอเมริกาใต้ในประเทศอาร์เยนตินา
และชิลีมากขึ้นเพราะคาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะสูงกว่า
ขณะเดียวกันแม้พวกเขาจะมองพื้นฐานตลาดการลงทุนในหลักทรัพย์เมืองไทย ในระยะยาวจะยังดีอยู่
เนื่องจากการปรังปรุงและพัฒนาในเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเงินเพื่อดึงการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา
จะเริ่มปรากฏให้เห็นบ้างแล้วก็ตามเช่นการออกกฎหมายเกี่ยวกับตราสารการเงิน
การผ่อนคลายการควบคุมการเคลื่อนย้ายผลตอบแทนจากการลงทุนในธุรกิจหลักทรัพย์
การดำเนินนโยบายที่จะแปรรูปกิจการของรัฐสู่เอกชนเป็นต้นก็ตาม
แต่การลงทุนในตลาดทุนโดยเฉพาะหลักทรัพย์ ก็ยังมีข้อจำกัดที่ขัดขวางการเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่างชาติอยู่อีกหลายอย่าง
ประการแรก - ความไม่ชัดเจนในอนาคตทางการเมือง เช่น การเลือกตั้ง และกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ประการที่สอง - ความไม่แน่นอนของรูปร่างหน้าตาของกฎหมายฉบับต่าง ๆ (ซึ่งกำลังเปิดอภิปรายกันอย่างกว้างขวางแก่สาธารณะ)
ที่เกี่ยวกับตลาดทุนและองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่เป็นใคร มีขอบเขตอำนาจหน้าที่อย่างไร
ประการที่สาม - อำนาจหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์มีค่อนข้างน้อยจนไม่สามารถควบคุมการซื้อขายแต่ละวัน
ให้ดำเนินไปอย่างถูกต้องยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประการที่สี่ - จำนวนหุ้นที่มีการเปลี่ยนมือในตลาดหุ้นไทยมีค่อนข้างน้อย
ทำให้บรรดากองทุนทั้งหลายที่ต้องการซื้อทีละมาก ๆ ไม่สามารถหาซื้อได้
ประการที่ห้า - มาตรฐานทางบัญชีของไทยยังต่ำกว่ามาตรฐานเช่นบัญชีการคิดต้นทุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบัญชีของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์มักไม่ค่อยคงที่
และระบบการเปิดเผยข้อมูลยังจำกัดไม่ทันเวลา ทำให้ไม่สามารถสะท้อนความจริงของปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงของการประกอบการธุรกิจนั้น
ๆ ได้
ประการที่หก - ข้อกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของชาวต่างประเทศที่บังคับให้ถือไม่เกิน
49% ในบริษัทต่าง ๆ (บางบริษัทกำหนดให้ถือไม่เกิน 25%) นักลงทุนจากญี่ปุ่นนั้นมองข้อจำกัดนี้เป็นตัวอุปสรรคที่สำคัญเพราะว่าโดยค่านิยมแล้ว
มักจะนิยมลงทุนซื้อหุ้นของบริษัทที่เป็นของญี่ปุ่นด้วยกันเอง
ขณะที่ในประเทศไทยมีบริษัทที่ญี่ปุ่นร่วมลงทุนกับคนไทยอยู่มาก และบริษัทเหล่านี้ก็มักจะเป็นบริษัทชั้นดีที่ตลาดหลักทรัพย์ต้องการให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดเพื่อนำหุ้นออกมาขายในวงกว้าง
แต่ปัญหาที่พบ บริษัทเหล่านี้ไม่ต้องการเข้ามาตลาดเพราะกลัวสูญเสียความเป็นเจ้าของไป
ประการสุดท้าย - ระบบข้อมูลข่าวสารในตลาดทุนไทย ที่จัดเก็บและนำเสนอในรูปแบบและเนื้อหาที่ยังไม่ได้มาตรฐาน
แม้ปัจจุบันปัญหาตรงนี้จะดีขึ้นบ้างเพราะมีบริษัทวิจัยและข้อมูลระดับมืออาชีพทั้งในประเทศ
และต่างประเทศเข้ามาเปิดบริการบ้างมากขึ้นหรือแม้กระทั่งบริษัทค้าหลักทรัพย์เองก็พยายามพัฒนางานด้านนี้มากขึ้น
แต่กระนั้นก็ตาม ก็ยังก้าวตามไม่ทันไปกับการเติบโตของตลาดทุนที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วมาก
ข้อจำกัด 7 ประการเหล่านี้เป็นสิ่งที่บรรดาผู้จัดการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของโลกมองผ่านเข้ามาในตลาดทุนไทย
และพวกเขาเชื่อว่าถ้าข้อจำกัดเหล่านี้ได้ถูกแก้ไขออกไป การเข้ามาลงทุนของสถาบันลงทุนต่างชาติจะมีมากขึ้น
สิ่งนี้จะเกี่ยวโยงเข้ามาช่วยให้ดีกรีความผันผวนของตลาดทุนไทยโดยเฉพาะตลาดหุ้นมีน้อยลง
ซึ่งเป็นการวางโครงสร้างให้ตลาดหุ้นไทยก้าวเข้าสู่การเป็นตลาดที่มีเสถียรภาพเหมือนตลาด