ชายหนุ่มบุคลิกนายแบบผู้นี้ ดูเผิน ๆ ไม่ยักรู้ว่าเป็นคนไทย น้ำเสียงการพูดจาที่นุ่มนวลสุภาพอาจจะพอบ่งบอกได้ว่าเป็นผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเจรจาต่อรอง
คนผู้นี้ คือ มือการเงินเบอร์หนึ่งของกลุ่มซีพีที่ฮ่องกง
ภาณุศักดิ์ อัศวอินทรา เป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิดจากเมืองไทยไปเรียนสหรัฐอเมริกาด้วยวัยเพยง
14 ขวบ หลังจากจบการศึกษาที่วาร์ตัน มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียแล้ว ได้เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท
สาขาบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยชิคาโกอีกด้วย เมื่อจบแล้วได้เริ่มต้นชีวิตนักการเงินแห่งแรกที่เชสแมนฮัตตันแบงก์
นิวยอร์ค
ทำงานกับเชสฯ นิวยอร์กระยะหนึ่ง ก็ถูกส่งตัวไปประจำที่ฮ่องกง เพื่อดูแลด้าน
CORPORATE FINANCE แล้วได้ไปช่วยสาขาเชสฯ ที่สิงคโปร์ตั้ง MERCHANT BANK
จากนั้นกลับมาฮ่องกงร่วมจัดตั้งเชสแมนฮัตตันเอเชีย
เมื่อทางสำนักงานใหญ่เรียกตัวกลับ ภาณุศักดิ์หรือชื่อที่เรียกง่าย ๆ สั้น
ๆ ว่าโทนี่ เริ่มรู้สึกว่าอยากจะอยู่ทางเอเชียมากกว่าเพราะตัวเขาเองก็เป็นคนเอเชีย
โทนี่ตัดสินใจอยู่และก็ได้รับการทาบทามจากธนินท์ เจียรวนนท์ เบอร์หนึ่งของเครือซีพีให้ช่วยดำเนินออฟฟิคในฮ่องกงตอนนั้นคือปี
2523 ซึ่งซีพีเริ่มขยายการลงทุนไปที่สาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว
โทนี่เปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ผมมีหน้าที่ดูบริษัทในเครือซีพีที่ฮ่องกงทั้งหมด
และดูกิจการในเมืองจีนซึ่งมีอยู่ 15 แห่ง และถือหุ้นที่อินโดนีเซีย มีเทรดดิ้งที่ฮ่องกงและถือหุ้น
CPF"
ว่าโดยตำแหน่ง โทนี่เป็น EXECUTIVE VICE PRESIDENT ของ C.P. POKPHAND (CPP)
หรือซีพีโภคภัณฑ์บริษัทโฮลดิ้งที่เป็นบริษัทแม่ของธุรกิจทั้งหลายของซีพีในจีนและฮ่องกง
จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2530 เป็นการนำธุรกิจต่าง ๆ ในด้านการเกษตรเข้ามารวมไว้ใต้ร่มธงบริษัทเดียว
เป็นการสร้างระบบใหม่ของเครือซีพีซึ่งปัจจุบันมีบริษัทในเครือกว่า 100 แห่ง
แต่ไม่เคยมีบริษัทโฮลดิ้งมาก่อนหน้านี้เลย
ซีพีโภคภัณฑ์เป็นโฮลดิ้งแรกของเครือซีพี และนำเข้าจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงในเดือนเมษายน
2531 และจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนในเดือนพฤศจิกายน 2533
โทนี่อธิบายถึงโครงสร้างเดิมของเครือซีพีว่า "เครือฯ ในอดีตมีการกระจายออกไปเป็นบริษัทฯ
ไม่มีบริษัทแม่เลย สมัยที่เป็น PRIVATE COMPANY เราไม่มีนักลงทุน เราก็คุยกับแบงก์เท่านั้น
แบงก์ที่เข้าใจเราก็ให้เรากู้แต่เมื่อย่างเข้ายุคที่เราเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
แล้ว โครงสร้างเดิมก่อความยุ่งยากให้กับผู้ที่เป็นนักลงทุนของเราอย่างมาก
แต่การที่เราจะทำให้ไม่ยุ่งยากก็เป็นการเสียเวลาแก่เรามาก"
ความยุ่งยากเหล่านี้เป็นเหตุให้ต้องสร้าง CPP ขึ้นมาเป็นบริษัทโฮลดิ้ง
ซึ่งไม่สามารถจดทะเบียนที่กรุงเทพฯ ได้เพราะการเป็นบริษัทโฮลดิ้งโดยไม่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยจะเสียภาษีมาก
โทนี่อธิบายว่า "บริษัทของเครือซีพีที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ BAP
ซึ่งหากเป็นในต่างประเทศนี่เราสามารถเอา BAP มากลืนบริษัทอื่น ๆ ได้แต่ อยู่ในเมืองไทยเราทำไม่ได้เพราะต้องเสียภาษีมาก
ดังนั้น เราจึงต้องเอา CPE และ CPNE มาเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อีก แล้วถึงเอา
CPF มาถือ BAP และ CPNE เพื่อที่ว่าจะไม่ต้องไปเสียภาษีมากมาย หากไม่มีปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายอย่างนี้
เรามีบริษัทเดียวก็พอ ดังนั้นการทำ CPP ขึ้นมาก็เพื่อให้มีบริษัทเดียว"
CPP ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านเหรียญฮ่องกง มีฐานธุรกิจอยู่ใน
5 ประเทศใน 5 ประเทศคือไทย จีน ฮ่องกง อินโดนีเซียและตุรกี
โทนี่ได้มีส่วนอย่างมากในความสำเร็จของซีพีโภคภัณฑ์ ซึ่งในอนาคตจะกลายเป็นธงนำในส่วนธุรกิจการเกษตรของเครือซีพี
และจะเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของเครือฯ ด้วย
โทนี่เผยไต๋ว่า "การนำ CPP ไปจดทะเบียนที่ตลาดลอนดอนเพราะหวังผลที่จะมี
EXPOSURE กับทางลอนดอน ในอนาคตเราต้องขยายไปยังยุโรปและสหรัฐฯ สิ่งที่ซีพีทำให้ในสายธุรกิจการเกษตรในเวลานั้นยังเป็นแค่สินค้าโภคภัณฑ์หรือ
COMMODITY ซึ่งราคาของมันยังหวือหวาอยู่มาก"
เป้าหมายที่ซีพีต้องการคือ ก้าวขึ้นเป็นผู้จัดจำหน่าย PACKAGE FOOD ด้วยตนเองในตลาดยุโรปและสหรัฐฯ
เป็นผู้ผลิตทีวีดินเนอร์ และ FROZEN DINNER ทั้งหลาย
การจะก้าวไปสู่จุดนั้นได้จำเป็นต้องมีการซื้อกิจการต่างประเทศเข้ามา วิธีการที่ง่ายที่สุดคือใช้ตัว
CPP เข้าไปซื้อ โทนี่กล่าวว่า "เมื่อเราจะซื้อกิจการต่าง ๆ นี่เราก็มีทางเลือกได้มากมาย
เพราะเราเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนแล้ว อาจจะซื้อเงินสดหรือจะเปลี่ยนหุ้นกัน
หรือ CPP อาจจะออกหุ้นใหม่ก็ได้ มาถึงตรงนี้แล้วผมคิดว่า CPP ไม่ใช่บริษัทไทย
แต่เป็นบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งสามารถแข่งขันกับบริษัทต่างประเทศอื่น
ๆ ได้"
การที่ CPP เข้าไปจดทะเบียนในตลาดลอนดอนจึงเอื้อประโยชน์อย่างมาก
โทนี่เคยกล่าวไว้ด้วยว่าเขาจะไม่หยุดอยู่แค่ลอนดอนเป้าหมายต่อไปคือการเข้าไปจดทะเบียนในตลาดนิวยอร์ค
ซึ่งจะเป็นทางบุกเบิกตลาดสหรัฐฯ ได้
กรณี CPP เป็นตัวอย่างที่มีความเป็นไปได้ว่าเครือเจริญโภคภัณฑ์ในอนาคต
จะมีการสร้างบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมาอีกแม้ปัจจุบันจะมีการแบ่งแยกสายธุรกิจออกเป็น
8 สาย แต่ในแต่ละสายก็ยังมีบริษัทที่แยกกันอีกมากมาย
โทนี่กล่าวว่า "ก่อนที่จะมี CPP ลักษณะการขยายธุรกิจคือตั้งบริษัทใหม่
อย่างในจีนก็มีบริษัทเกิดขึ้นมาทีละแห่งแล้ว CPP ไปรวมเข้ามา บริษัทลูกของ
CPP ก็ยังมีบริษัทลูกติดอยู่อีกมากมาย"
"เปรียบเสมือนหนึ่งว่า 8 สายธุรกิจที่มีอยู่ในเวลานี้เป็นสุริยจักรวาล
และ CPP เป็นดาวพระเคราะห์ ซึ่งมีดาวเล็ก ๆ อีกมามายล้อมรอบ" คนของซีพีเปรียบเปรยให้ภาพพจน์แก่
"ผู้จัดการ"
โทนี่เล่าถึงลักษณะการบริหารงานด้านการเงินแก่ "ผู้จัดการ" ว่า
"ผมดูการเงินทั้งหมดของ CPP ส่วนบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับ CPP นั้นจะมีการให้คำแนะนำจากทางผมไป
เช่นผมเพิ่งทำ BOND จากสวิสเซอร์แลนด์มา CPF อาจจะซาวน์ดูว่าอันนี้เหมาะกับเขาหรือเปล่า
ทำนองนี้ ผมอาจจะให้ความเห็นแต่ CPF จะเป็นผู้ตัดสินใจเพราะ CPP ถือหุ้น
CPF อยู่เพียง 25% เท่านั้น"
สำหรับสายธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจากสายเกษตรแล้วต้องขอคำแนะนำจากผู้บริหารระดับสูง
คือมีการวางแผนจากส่วนกลาง (CENTRAL PLANING) ไปเพื่อให้เข้ากับจุดมุ่งหมายของเครือฯ
โครงการใหญ่ ๆ เช่น ปิโตรเคมี โทรศัพท์ เหล่านี้มีบอร์ดเดียวเท่านั้น ประกอบไปด้วยผู้ให่ญ่ทั้งหลายในซีพีคือธนินท์,
ดร.วีรวัฒน์ กาญจนดุลฯ มิน เธียรวร และโทนี่
โทนี่ได้ให้ภาพการบริหารการเงินของซีพีอย่างคร่าว ๆ ซึ่งน้อยคนนักจะได้มีโอกาสรู้เรื่องนี้
และมิพักต้องกล่าวถึงการบริหารงานของเครือซีพีซึ่งมีบริษัทอยู่มากมายนับไม่ถ้วนการบิรหารที่ผู้ใหญีซีพีหลายคนกล่าวว่า
ยังคงรวมศูนย์อยู่ที่กรุงเทพฯ นั้นจะทำกันได้อย่างไร
เมื่อปี 2533 นิตยสารฟอร์จูนจัดอันดับให้กลุ่มซีพีเป็นบริษัทที่มีสินทรัพย์สูงมากเป็นที่
8 ของเอเชีย โทนี่กล่าวว่าการจัด อันดับครั้งนั้นคงจะพิจารณาเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลดาหลักทรัพย์ฯเท่านั้น
"ส่วนที่เป็น PRIVATE นี่ เขาคงไม่รู้เพราะหากจัดอันดับทั้งหมดนี้คงจะสูงกว่าอันดับ
8 แน่นอนอย่างน้อยก็สูงขึ้นเป็นเท่าตัวแค่ CPP นี่ก็อยู่ในอันดับราว 50 กว่าของฮ่องกง
ผมคิดว่าสิ้นปีนี้เราอาจทำรายได้ให้ CPP ถีบตัวขึ้นไปอยู่ในอันดับ 30 กว่า
ๆ ของฮ่องกงได้"
นั่นหมายความว่าหากจะจัดอันดับเครือซีพีจริง ๆ แล้ว คือ 2 หรือ 3 ไม่ใช่
8
คนของซีพีเคยกล่าวถึงเป้าหมายของกลุ่มธุรกิจที่มีการเกษตรเป็นหัวหอกสำคัญรายนี้ว่า
ในอนาคต 5 ปีข้างหน้าซีพีต้องการที่จะเป็นผู้ผลิตอาหารรายใหญ่รายหนึ่งเพื่อเลี้ยงประชากรโลก
การขยายตัวเข้าไปในจีนในระยะกว่า 10 ปีที่ผ่านมาสะท้อนจุดมุ่งหมายนี้อย่างแจ่มชัด