|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
แบงก์ชาติสำรวจการลงทุนในหลักทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติในปี 49 มียอดคงค้างรวม 1,525.3 พันล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 48 จำนวน 26.2 พันล้าน หรือ 1.7% เหตุจากราคาหลักทรัพย์ที่ลดลง หลังรับแรงกดดันของราคาน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น การขายหุ้นโทรคมนาคมให้ต่างชาติ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และมาตรการกันสำรอง 30% แบงก์ชาติ ขณะที่นักลงทุนไทยลดการถือครองหลักทรัพย์ต่างประเทศและหลักทรัพย์ไทยที่จดทะเบียนในตลาดต่างประเทศลงจากปี 2548 เหลือ 108.2 พันล้านบาท หรือลดลง 28.1%
รายงานงานข่าวจาก ทีมฐานะการลงทุนระหว่างประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้สำรวจข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในหลักทรัพย์ไทยที่ออกโดยภาครัฐบาล รัฐวิสาหกิจ ภาคธนาคาร และภาคเอกชนที่ไม่ใช่ธนาคาร จากธุรกิจที่ทำหน้าที่รับฝากหลักทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งได้แก่ ผู้ดูแลทรัพย์สิน(Custodian) บริษัทนายหน้า(Broker) และบริษัทตัวแทน(Sub-broker) โดยสรุปผลการสำรวจการลงทุนในหลักทรัพย์ไทยของนักลงทุนต่างชาติ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 พบว่า นักลงทุนต่างชาติลงทุนในหลักทรัพย์และฝากหลักทรัพย์ไว้กับผู้ดูแลทรัพย์สินฯมียอดคงค้างรวมทั้งสิ้น 1,525.3 พันล้านบาท หรือประมาณ 42.3 พันล้านดอลลาร์สรอ. ลดลงจากสิ้นปี 2548 จำนวน 26.2 พันล้านบาทหรือร้อยละ 1.7 โดยมีมูลค่าลดลงในทุกประเภทตราสาร
ทั้งนี้ การลดลงดังกล่าวเนื่องจากได้รับแรงกดดันมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น การขายหุ้นโทรคมนาคมให้ต่างชาติ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมือง และมาตรการสกัดกั้นเงินทุนต่างชาติ อย่างไรก็ดี แม้ราคาหลักทรัพย์จะลดลง แต่จากรายงานข้อมูลเงินลงทุนในทุนเรือนหุ้นจากต่างประเทศจะเห็นว่าปริมาณเงินลงทุนในหลักทรัพย์ไทยของต่างชาติยังคงเพิ่มขึ้นโดยต่อเนื่อง
สำหรับประเภทหลักทรัพย์ที่นักลงทุนต่างชาติลงทุนมากที่สุดคือ ตราสารหนี้มีการลงทุนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 93.4 ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยในจำนวนยอดคงค้างของตราสารทุน มีมูลค่าเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจำนวน 358.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 222.8 พันล้านบาทหรือร้อยละ 164.8 แบ่งเป็นเงินลงทุนในหุ้นของภาคธนาคาร แยกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 101.2 พันล้านบาท และหุ้นบุริมสิทธิ์จำนวน 1.8 พันล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินลงทุนในหุ้นสามัญของธุรกิจเอกชนที่มิใช่ธนาคารจำนวน 255.0 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นหุ้นของกิจการโทรคมนาคม
ส่วนประเทศที่ส่งเงินเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ ณ สิ้นปี 2549 มีทั้งหมด 65 ประเทศ แม้ว่าหลายประเทศสนใจลงทุนเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะ ฮ่องกง ลักเซมเบิร์ก และไอร์แลนด์ แต่สหราชอาณาจักรยังคงเป็นประเทศที่ลงทุนมากที่สุดคิดเป็นส่วนร้อยละ 33.8 รองลงมาคือ สหรัฐอเมริกาคิดเป็นร้อยละ 20.2 สิงคโปร์คิดเป็นร้อยละ 15.7 และประเทศอื่นๆคิดเป็นร้อยละ 30.3 โดยนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในภาคเศรษฐกิจที่สำคัญได้แก่ ภาคสถาบันการเงินคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 30.9 รองลงมาได้แก่ภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 19.2 รัฐวิสาหกิจร้อยละ 17.0 ภาคบริการร้อยละ 13.7 และภาคอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 7.7
ด้านอิทธิพลของนักลงทุนต่างชาติต่อตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นปี 2549 สัดส่วนการลงทุนยังคงใกล้เคียงกับสิ้นปีก่อนคือ ร้อยละ 28.1 ของมูลค่าตามตลาดราคาตลาดโดยวัดจากมูลค่าเงินลงทุนในตราสารทุนของนักลงทุนต่างชาติจำนวน 1,425.3 พันล้านบาท ต่อมูลค่าตามราคาตลาดของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศจำนวน 5,078.7 พันล้านบาท
และการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตราสารหนี้ ถึงแม้จะลดลงแต่ยังถือว่าอยู่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ฝากไว้กับผู้รับฝากหลักทรัพย์ที่มียอดคงค้าง 92.8 พันล้านบาท และมีสัดส่วนร้อยละ 2.3 ของมูลค่าตลาดรวมตราสารหนี้ไทยที่ซื้อขายผ่าน ThaiBMA (The Thai Bond Market Associaiton) ซึ่งมีมูลค่า 3,951.3 พันล้านบาท
ด้านการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศและหลักทรัพย์ไทยที่จดทะเบียนในต่างประเทศของนักลงทุนไทยในปี 2549 นักลงทุนไทยที่ลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ และหลักทรัพย์ไทยที่จดทะเบียนในต่างประเทศเปลี่ยนไป โดยเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น
สำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของนักลงทุนไทย เป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งฝากหลักทรัพย์ไว้กับผู้ดูแลทรัพย์สินในไทย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2549 มียอดคงค้างทั้งสิ้น 87.8 พันล้านบาท หรือประมาณ 2.4 พันล้านดอลลาร์สรอ. ลดลงจากสิ้นปี 2548 ร้อยละ 16.5
ทั้งนี้ ในปี 2549 ผู้ลงทุนลดการถือครองตราสารหนี้ต่างประเทศ และหันมาให้ความสำคัญกับการลงทุนในหน่วยลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะผู้ลงทุนในประเทศได้เล็งเห็นว่า การกระจายรูปแบบการลงทุนโดยการซื้อหน่วยลงทุนสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน และทำให้มีโอกาสเป็นเจ้าของหุ้นที่มีพื้นฐานดีในทางอ้อมเป็นผลให้มูลค่าเงินลงทุนในหน่วยลงทุนในกองทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนกว่า 7 เท่าตัว
ส่วนการลงทุนของนักลงทุนไทยในตลาดตราสารหนี้ไทยที่จดทะเบียนในตลาดต่างประเทศหรือตราสารหนี้ไทยที่ออกในตลาดต่างประเทศมียอดคงค้างทั้งสิ้น 20.4 พันล้านบาท หรือประมาณ 0.6 พันล้านดอลลาร์สรอ. ลดลงจากสิ้นปี 2548 ร้อยละ 35.4 เนื่องจากกองทุนต่างๆของไทยลดการลงทุนในพันธบัตรไทย แล้วเปลี่ยนไปซื้อหน่วยลงทุนต่างประทเศมากขึ้น ขณะที่ตราสารหนี้ที่ถือมากที่สุดคือ หุ้นกู้ของภาคเอกชนจำนวน 13.0 พันล้านบาทคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 63.7 ที่เหลือเป็นพันธบัตรรับบาลไทยมูลค่า 7.4 พันล้านบาท
โดยสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่นักลงทุนไทยซื้อตราสารหนี้ไทยมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ 67.9 รองลงมาได้แก่ ญี่ปุ่น และฮ่องกง ร้อยละ 28.4 และ 3.5 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า นักลงทุนไทยน่าจะมีการปรับเปลี่ยนการลงทุนตราสารหนี้ไทยที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น เนื่องจากในปี 2549 นักลงทุนไทยลดการถือครองหลักทรัพย์ไทยในญี่ปุ่น ขณะที่การถือครองหลักทรัพย์ไทยในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น ซึ่งมีทิศทางตรงกันข้ามกับปี 2548
|
|
 |
|
|