“วิศิษฎ์” ยันปั่นหุ้นอารียาเป็นเรื่องของพี่ชายไม่เกี่ยวกับบริษัท ตัวเองไม่รู้เรื่อง ด้านหนี้สินต่อทุนสูงถึง 2-2.5 : 1 ในขณะที่กำไรสุทธิแค่ 1-2% เหตุคอนโดฯยังไม่โอน เชื่อปีหน้าปรับดีขึ้นน่า ปัจจุบันยอดขาย 5,500 ล้านบาท ด้านแบงก์ทหารไทยหมูไม่กลัวนำร้อนปล่อยเงินวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี(โอดี) 3,800 ล้านบาท
นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน ) เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)สั่งปรับกลุ่มบุคคล 9 คน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาจำนวน 29.93 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในนั้นมีนายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี พี่ชายแท้ๆของนายวิศิษฎ์และพวกอินไซต์ข้อมูลหุ้นอารียา ระหว่างวันที่ 1-20 กันยายน 2547 ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทและตนเอง เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถซื้อ-ขายหุ้นในกระดาษได้ และที่ผ่านมาตนก็ไม่ได้พูดคุยกันเลย อีกทั้งยังไม่มีมาตรการอะไรออกมาป้องกันแต่อย่างใด
“ไม่มีใครห้ามให้นักลงทุนมาซื้อหุ้นตัวเองได้ เพียงแต่กรณีนี้นามสกุลเดียวกันเท่านั้น ผมห้ามเค้าไม่ได้ และอีกอย่างตัวผมเองยังไม่รู้เลยว่าหุ้นจะขึ้นเมื่อไหร่”
ล่าสุดบริษัท ได้ลงนามในสัญญากับธนาคารทหารไทยในการให้วงเงินสนับสนุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการคือ เอ สเปซ สุขุมวิท 77, เอสเปซ เกษตร-นวมินทร์ และเอสเปซ อโศก-รัชดา วงเงิน 3,800 ล้านบาท ปัจจุบันเบิกมาใช้แล้วเล็กน้อย นอกจากนี้ ธนาคารทหารไทยยังสนับสนุนสินเชือ่ในโครงการแนวราบของบริษัทอีกด้วย โดยปัจจุบันเบิกเงินกู้มาใช้แล้ว 2,500 ล้านบาท (ไม่รวมกับวงเงินกู้รอบใหม่)
ปัจจุบันมีบริษัทยอดขายคอนโดมิเนียมทั้ง 3 โครงการแล้วกว่า 80% หรือประมาณ 5,500 ล้านบาทจากมูลค่ารวม 5,800 ล้านบาท อย่างไรก็ตามนายวิศิษฎ์ กล่าวยอมรับว่า แม้จะสร้างยอดขายได้มาก แต่รายได้จะยังไม่เข้ามา เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นยอดขายของคอนโดมิเนียม โดยจะทยอยรับรู้ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จากปัจจัยดังกล่าวทำให้กำไรสุทธิของบริษัทค่อนข้างต่ำโดยอยู่ที่ 1-2% เท่านั้น แต่คาดว่าหลังโอนคอนโดมิเนียมได้แล้วกำไรน่าจะสูงกว่าปัจจุบัน หรือประมาณ 10% ในปีหน้าขณะที่ปัจจุบันกำไรเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 30%
“กำไรเราค่อนข้างต่ำ เพราะรายได้เรายังไม่เข้ามา ซึ่งรายได้ที่เข้ามาในขณะนี้จะมาจากโครงการแนวราบคือบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์เท่านั้น นอกจากนี้ในยอดขาย 5,500 ล้านบาท ยังเป็นส่วนที่รับบริหารงานขาย 1,800 ล้านบาทซึ่งในส่วนนี้จะบริษัทจะได้เป็นค่าบริหารงานขาย”
นายวิศิษฎ์กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุน(D/E)อยู่ที่ 2 ต่อ 1 โดยหนี้สินอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท ไม่รวมวงเงินที่จะกู้ทหารไทยที่ลงนามไปในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามภายหลังจากใช้เงินกู้จากธนาคารทหารไทยในครั้งนี้แล้วจะทำให้หนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 2.5 ต่อ 1 ขณะที่มีทรัพย์สินรวม 4,200 ล้านบาท ทุนจดทะเบียน 758 ล้านบาท พาร์ 1 บาท ขณะที่บริษัทมีสภาพคล่องต่อเดือนประมาณ 100-150 ล้านบาท และคาดว่าจะสูงขึ้นเป็น 200-300 ล้านบาทต่อเดือนภายในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์นั้นถือว่าอารียามีหนี้สินต่อทุนสูงที่สุด ขณะที่กำไรค่อนข้างต่ำ โดยในปีที่ผ่านมากำไรเพียง 9-10 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่บริษัทมีภาระต้องลงทุนค่อนข้างสูงจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่จะต้องใช้เวลาการก่อสร้างนานกว่า 1 ปี รายได้จึงจะเข้ามา ขณะเดียวกันแม้ว่าโครงการจะขายได้ค่อนข้างมาก แต่ยอดขายบางส่วนเป็นการใช้สิทธิของพนักงานซื้อในราคาส่วนลดมากกว่าปกติ ขณะเดียวกันผู้ซื้อบางรายมีการซื้อจำนวนมาก อย่างกรณีของไก่ มีสุข แจ้งมีสุข พิธีกรและผู้ประกาศข่าวชื่อดังทางช่อง 3 ระบุว่า ตนเองซื้อไว้ถึง 5 ยูนิต เพื่อเก็บไว้ขายต่อเมื่อโครงการแล้วเสร็จ
นายวิศิษฎ์ กล่าวชี้แจงว่าการที่หนี้สินต่อทุนค่อนข้างสูง เพราะบริษัทถือที่ดินไว้ในมือจำนวนมาก โดยรวมแล้วมีประมาณกว่า 300 ไร่ ส่งผลให้ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยจากที่ดินประมาณ 20 ล้านบาทต่อเดือนหรือประมาณ 240 ล้านบาทต่อปี แม้ว่าบริษัทจะจ่ายดอกเบี้ยค่าที่ดิน แต่เมื่อเทียบกับการขายที่ดินแล้วไปซื้อใหม่ราคาจะสูงกว่าค่าดอกเบี้ยที่บริษัทจ่ายไปในแต่ละเดือนค่อนข้างมาก บริษัทจึงยอมที่จะแบกภาระด้านดอกเบี้ยแทน ขณะที่บริษัทอื่นที่มีหนี้สินต่อทุนต่ำนั้น เนื่องจากได้มีการตัดขายที่ดินไปเพื่อลดต้นทุน
“ปัจจุบันบริษัทจ่ายดอกเบี้ยอัตราเอ็มแอลอาร์ – 0.5 -1% ต่อปี และหากหนี้สูงขึ้นมากก็จะต้องออกบอนด์ และแปลงใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ วอแรนต์ ซึ่งผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแล้วจำนวน 191.6 ล้านหุ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างขออนุญาตจากก.ล.ต.อยู่ และจะมีการกู้เงินจากเอบีเอ็นแอมโร ฮ่องกง จำนวน 20 ล้านเหรียญสหรัฐอัตราดอกเบี้ย 7% แต่บริษัทจะให้สิทธิเอ็กซ์เซอร์ไซด์หุ้นในราคา 3.5 บาทต่หุ้นจำนวน 40 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น“
สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทเตรียมพัฒนาโครงการทาวน์เฮาส์ออกมาอีก 3 โครงการ โดยในไตรมาส 3 นี้จะพัฒนา 2 ทำเล คือทำเลแยกถนนศรีสมาน จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นที่ดินติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่ประมาณ 100 ไร่ จากเดิมมีแผนที่จะพัฒนาเป็นบ้านหรูราคาหลังละ 50-100 ล้านบาท จำนวน 60 หลัง โดยจะปรับเปลี่ยนก่อสร้างทาวน์เฮาส์ในส่วนด้านหน้าที่ติดถนนบนพื้นที่ 39 ไร่ เป็นทาวน์เฮาส์ขนาดหน้ากว้าง 16 ตารางวา พร้อมเฟอร์นิเจอร์ ภายใต้แบรนด์ "เดอะคัลเลอร์" ราคายูนิตละ 1.6 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 2,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ได้เปิดทำการขายในเฟสแรกมูลค่า 850 ล้านบาท จับกลุ่มเป้าหมายผู้ที่ทำงานในศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โครงการที่ 2 จะเปิดปลายไตรมาส 2 และโครงการที่ 3 เปิดประมาณต้นไตรมาส 4 ส่วนทำเลนั้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้
|