|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ดิแอสไพเรอร์สกรุ๊ป ปรับกลยุทธ์ลดความเสี่ยง สยายปีกสู่นิวมีเดีย รับโลกยุคใหม่ วางแนวทาง 5 กลุ่มหลัก หรือ 5O พร้อมทั้งชูธงคอนเท้นต์โพรวายเดอร์ ตั้งเป้าอีก 2 ปีเข้าตลาดหลักทรัพย์ MAI หวังกวาดรายได้ 280 ล้านบาทในปี 2552
นายวิโรจน์ อัศวรังสี ผู้จัดการทั่วไป และบรรณาธิการอาวุโส นิตยสารในเครือ บริษัท ดิแอสไพเรอร์สกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนที่จะรุกสู่ธุรกิจนิวมีเดียมากขึ้น เพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ อีกทั้งที่ผ่านมารายได้หลักของทางบริษัทฯมาจากสื่อนิตยสารเกี่ยวกับไอที ซึ่งมีทั้งหมด 5 หัว มากกว่า 40-50% และนอกนั้นก็เป็นรายได้จากทางอีเว้นต์ทั้งของบริษัทฯเอง เช่น งานคอมเวิลด์ งานแสดงและจำหน่ายสินค้าไอที การรับจ้างจัดงานอีเว้นต์
“อย่างไรก็ตาม ในตลาดนิตยสารไอทีนั้นกลับมีภาวะถดถอยทางด้านการขายโฆษณามาตั้งแต่ปี 2545 แล้ว ซึ่งลดเฉลี่ย 10-30% ต่อปี เนื่องจากพฤติกรรมของผู้ลงโฆษณาเปลี่ยนไป หันไปใช้สื่อที่เป็น Non IT มากขึ้น อีกทั้งช่วง 2-3 ปีมานี้ที่ประเทศไทยเรามีปัญหาทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ ยิ่งทำให้ตลาดโฆษณาทรุดตัวลงกว่า 30-50% ด้วย” นายวิโรจน์กล่าว
ทั้งนี้จากตัวเลขประมาณการของ นีลเส็นมีเดียรีเสิร์ช ระบุว่า ในปี 2550 นี้ มูลค่าการใช้จ่ายโฆษณาผ่านสื่อนิตยสารลดน้อยลงเมื่อเทียบเดือนต่อเดือนกับปีที่แล้ว ในขณะที่อนาคตตลาดโฆษณานิตยสารทุกประเภทจะลดลงด้วย โดยตั้งแต่ปี 2543 ที่เติบโต 37% กลับตกลงมาเหลือเติบโตแค่ 15% ในปี 2544 และแม้ว่าจะขยับดีขึ้นมาเป็น 32% ในปี 2547 ก็ตาม แต่ก็ตกลงถึง 5% และคาดว่าในปีนี้ตลาดรวมโฆษณานิตยสารทุกประเภทจะตกลงถึง 6%
นายวิโรจน์กล่าวด้วยว่า ในตลาดนิตยสารประเภทไอทีมีการปิดตัวลงไปมากในช่วง 2-3 ปีมานี้ เพราะเศรษฐกิจไม่ดี อีกทั้งการที่นิตยสารไอทีถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสื่อแบบอินฟอร์เมทีฟหรือสื่อข้อมูล จะถูกแชร์ผู้อ่านมาจากสื่อประเภทอีโมชันนัล โดยเมื่อปี 2545 สื่อด้านไอทีมีประมาณ 36 หัว แต่ปัจจุบันเหลือแค่ 10 กว่าหัวเท่านั้น โดยล่าสุดเมื่อต้นปี มีการปิดตัวไปแล้วอย่างต่ำ 3 หัว และเมื่อเดือนที่แล้วมีการยุบรวมกัน 2 หัว โดยผลประกอบการของบริษัทฯแม้ว่าจะมีการเติบโตที่ดีแต่ก็ต้องมีการปรับตัวปรับกระบวนทัศน์ วิธีการและยุทธศาสตร์การทำธุรกิจใหม่เพื่อเข้าสู่ยุคของโลกนิวมีเดีย
สำหรับแนวทางการรุกสู่นิวมีเดียของบริษัทฯนั้นวางทิศทางไว้ 5 กลุ่มหลัก หรือ 5O คือ 1.ออนไลน์ (Online) คือการเปิดตัวเว็บไซต์ ซึ่งเพิ่งเริ่มทดลองได้ระยะหนึ่งคือ www.magmareport.com ซึ่งขณะนี้เว็บไซต์ดังกล่าวติดอันดับ 1 ใน 5 ของนิตยสารออนไลน์ และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะขึ้นเป็นอันดับที่หนึ่ง นอกนั้นก็มี ดิจิแมก ซึ่งเป็นการส่งเมล์ขนาดเล็กให้ผู้อื่นอย่างง่ายๆทำให้เพิ่มฐานผู้อ่านได้มากขึ้นด้วย
2.ออฟไลน์ (Offline) คือ สื่อประเภทพริ้นท์หรือนิตยสารที่ทำอยู่แล้ว แต่จะมีการต่อยอดออกไป แม้ว่าภาวะตลาดจะไม่ค่อยดีซึ่งในเดือนหน้านี้จะมีการเปิดนิตยสารหัวใหม่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 5 หัว คือ พีซีทูเดย์, พีซีเวิลด์ ซื้อลิขสิทธิ์มาจากบริษัท อีดีจี อเมริกา, ดีเอ็นเอส, อีเวิลด์ คอมพิวเตอร์เวิลด์ ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วทางกลุ่มมีส่วนแบ่งตลาดนิตยสารไอทีมากกว่า 45%
3. ออนแอร์ (On Air) เช่น ทีวี วิทยุ ซึ่งได้เริ่มแล้วเช่นกัน ปัจจุบันมีรายการทีวี 1 รายการคือ ไอทีอีเลฟเว่น ช่อง 11 และรายการทางวิทยุคลื่น 101.5 FM เวลา 09.00-10.00 น.ทุกวัน และเตรียมที่จะเปิดตัวรายการทีวีใหม่ในเร็วๆนี้ แต่จะไม่ใช่รายการประเภทไอที เพื่อขยายฐานตลาดให้กว้างขึ้น
4.ออนโมบาย (On Mobile) ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนากับทางผู้เชี่ยวชาญ และ 5.เอาท์ออฟโฮมมีเดีย (Out of Home Media) ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มแล้วกับการเป็นผู้บริหารสื่อโฆษณาสถานีรถไฟทั่วประเทศซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากทางบริษัท แอคทีฟ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด
“ในอนาคตเราจะวางตัวเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอนเท้นต์ และจะต้องทำการเชื่อมโยงหรือ Convergence ระหว่างสื่อต่างๆให้ได้ การคิดค้นสื่อใหม่ๆที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนยุคอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงนั้น ผู้บริหารต้องมองให้ออก ผมคิดว่าประชากรบนเน็ตทุกวันนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เดิมเมื่อ 10 ปีที่แล้วมีเพียง 8 แสนคน แต่ตอนนี้มีมากกว่า 8 ล้านคนแล้ว ที่น่าตกใจคือครัวเรือนไทยใช้เน็ตแล้ว 42% ในขณะที่คนกรุงเทพฯใช้เน็ตแล้ว 63%”
สำหรับแผนการขยายธุรกิจดังกล่าวนี้ บริษัทฯคาดหมายว่า ภายใน 3 ปีแรกนับจากนี้ จะมีรายได้รวมทั้งกลุ่มเพิ่มขึ้นเป็น 280 ล้านบาทได้ โดยปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 150 ล้านบาท เติบโต 22% ซึ่งครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 70 ล้านบาท จากที่ผ่านมาหลังจากที่ดำเนินธุรกิจมานาน 5 ปี มีรายได้ในปีแรกเพียง 4 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 123 ล้านบาทในปีที่แล้ว คิดเป็นอัตราการเติบโตมากกว่า 3,000% อีกทั้งมีเป้าหมายที่จะนำบริษัทฯเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI ภายใน 2 ปี โดยปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท
|
|
|
|
|