|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ชิเซโด้ รุกตลาดเปิดศูนย์วิจัยประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาแบรนด์เกี่ยวกับสมุนไพร กลุ่มสกินแคร์ลงเจาะขายทั่วโลก พร้อมควักเม็ดเงินอีก 10 ล้านบาท ขยายคลังสินค้าเพิ่ม รองรับการขยายตัวไลน์สินค้า ก้มหน้ารับยอดครึ่งปีแรกโต 7% ต่ำสุดรอบ 10 ปี เดินเครื่องทำตลาดเต็มสูบหวังดันยอดสู่เป้า 10%
นายทัตสึโอะ ซึโด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิเซโด้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯเตรียมงบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายคลังสินค้า บนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ ย่านสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการเก็บสินค้าได้อีกประมาณ 2,000 ตารางเมตร จากปัจจุบันคลังสินค้าเดิมมีพื้นที่ประมาณ 700 ตารางเมตร เพื่อรองรับกับจำนวนสินค้าที่มีเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะสินค้าใหม่ที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้บริษัทฯได้ร่วมกับพันธมิตร คือ ไบโอเทค หรือศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดตัวศูนย์วิจัยประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อร่วมกันวิจัยและพัฒนาสมุนไพรไทย เกี่ยวกับเครื่องสำอางสมุนไพร ในกลุ่มสกินแคร์ มาใช้ในผลิตภัณฑ์ของชิเซโด้ในอนาคตไปเมื่อช่วงต้นปี 2550 ทั้งนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลในความพร้อมของผลิตภัณฑ์อยู่ โดยคาดว่าการวิจัยในครั้งนี้จะเห็นผลได้ในระยะอันใกล้ อีกทั้งยังคาดว่าจะพัฒนาสินค้าออกขายตลาดทั่วโลก
ที่ผ่านมาสินค้าภายใต้แบรนด์ ชิเซโด้ มีการวิจัยในรูปแบบนี้มาแล้วกว่า 5 ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น 2 แห่ง นิวยอร์ค 1 แห่ง ปารีส 1 แห่ง ปักกิ่ง 1 แห่ง และประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ 6 โดยเมื่อ 6 ปีก่อนมีสินค้าแบรนด์ ชินาโนะดอร์ ทำตลาดมาแล้วที่ประเทศจีนเป็นกลุ่มสินค้าประเภท สกินแคร์และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นแพ็ก ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี จึงมองว่าการวิจัยจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเพิ่มไลน์สินค้ากลุ่มใหม่ๆเข้ามาทำตลาด
จากการมุ่งมั่นทำตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ยอดขายโดยภาพรวมที่ผ่านมาของบริษัทฯมีการเติบโตที่ลดน้อยลง กล่าวคือ โตหลักเดียว ในรอบ 10 ปี จากเดิมก่อนหน้านี้บริษัทฯมีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักมาโดยตลอด ทั้งนี้ทำให้บริษัทฯมองว่าจะต้องเพิ่มการทำตลาดมากขึ้นเพื่อทำให้ยอดเป็นตามเป็นวางไว้ที่จะโต 10% ซึ่งที่ผ่านมายอดการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกมีการเติบโตเพียง 7%เท่านั้น ขณะที่ตลาดเครื่องสำอางในครึ่งปีแรก มีมูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโตได้ดีที่สุดไม่เกิน 3% หรือเท่ากับปี 2549 ที่มียอดขายรวมมากกว่า 1,000 ล้านบาm
ดังนั้นเพื่อการทำตลาด ทางบริษัทฯจะยึดแนวครบวงจร 360 องศา และการบริการแบบ “โอโมเทนาชิ” หรือ “การบริการแบบใจถึงใจ” รวมทั้งการนำตัวอย่างสินค้าใหม่โปรโมตสินค้าในแต่ละห้องพักตามโรงแรมระดับไฮเอนด์ซึ่งถือเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่ง เบื้องต้นเตรียมงบประมาณสำหรับทำตลาดไว้ 25% ของยอดขาย โดยจัดแบ่งทั้งสื่อทางนิตยสารและสื่อทางโทรทัศน์ สื่อสารข้อมูลทางตลาดโปรโมตทั้งแง่ของสินค้าเก่าและใหม่อีกด้วย
ปัจจุบันกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์เมกอัพของ แบรนด์ นาร์ส 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งแบรนด์ อิปซ่า 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ผิวหน้า แอคเน่ แบรนด์ เอต์ตูเซ่ต์ 4.น้ำหอมแบรนด์ อิเซ่ มิยาเกะ และ5. ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ แบรนด์เคลย์ เดอ โป โบเต้ ซึ่งทำตลาดได้ดี ในขณะเดียวกันบริษัทฯยังไม่มีแผนนำแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดแต่อย่างใด เนื่องจากต้องใช้งบในการทำตลาดมาก ดังนั้นบริษัทฯจึงมองว่าทางเลือกที่ดีที่สุดคือมุ่งมั่นสร้างแบรนด์ที่มีอยู่ในตลาดให้ดีที่สุด
|
|
|
|
|