เครือปตท.รวยขึ้นอื้อหลังต่างชาติไล่เก็บหุ้นไม่หยุด แค่ 6 เดือนหลังแบงก์ชาติใช้มาตรการ 30% มาร์เกตแคปทั้งกลุ่มเพิ่มขึ้น 6 แสนล้านบาท หรือ 55% โดยราคาหุ้น PTT พุ่งขึ้นเกือบ 60% หลังทยานทะลุ 300 บาท "กัมปนาท" เชื่อคดีถอนปตท.ออกจากเป็นบจ.สิ้นเดือนนี้ แม้ว่าเป็นความเสี่ยงแต่เชื่อมีทางออกที่ดีกว่า ชี้หากถอนผลกระทบเท่ามาตรการ 30% ขณะที่บทวิเคราะห์บล.ระบุราคาหุ้นทุกบริษัทในเครือเกินราคาเหมาะสมเฉลี่ย
การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) จนทำลายสถิติสูงสุดในรอบกว่า 10 ปี สอดคล้องกับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ โดยล่าสุด(9 ก.ค.) มาร์เกตแคปอยู่ที่ 6.5 ล้านล้านบาท โดยเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 1.9 ล้านล้านบาทหรือ 41.03% จากมาร์เกตแคปเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 49 ซึ่งเป็นวันแรกที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศใช้มาตรการกันสำรองเงิน 30% จนทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงถึง 108.41 จุด โดยในวันดังกล่าวมาร์เกตแคปอยู่ที่ 4.6 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ ผลของการปรับตัวเพิ่มขึ้นของมาร์เกตแคปตลาดหลักทรัพย์เป็นผลมาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในเครือปตท. โดยมาร์เกตแคปรวมของกลุ่มซึ่งประกอบด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บมจ.ปตท.เคมิคอล หรือ PTTCH, บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ PTTEP, บมจ.อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) หรือ ATC, บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP และบมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง หรือ RRC ณ วันที่ 9 ก.ค.50 อยู่ที่ 1.66 ล้านล้านบาท คิดเป็น 25.69% ของมาร์เกตแคปตลาดหลักทรัพย์ โดยเพิ่มขึ้นจากวันที่ 19 ธ.ค.49 ซึ่งอยู่ที่ 1.07 ล้านล้านบาท คิดเป็น 23.26% ของมาร์เกตแคปตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 6 แสนล้านบาท หรือ 55%
สำหรับราคาหุ้นในกลุ่มนำโดย PTT ล่าสุด(9 ก.ค.50) ปิดที่ 296 บาท เพิ่มขึ้น 2 บาท หรือ 0.68% โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ระดับ 302 บาทซึ่งเป็นราคาสูงสุดตั้งแต่เข้าจดทะเบียนเมื่อปี 2544 ขณะที่เมื่อเทียบกับราคาปิด 19 ธ.ค.49 ราคาปิดที่ 186 บาท เพิ่มขึ้น 110 บาท หรือ 59.14% ขณะที่หุ้น PTTCH ราคาปิดที่ 99.5 บาท โดยเพิ่มขึ้น 27.5 บาท หรือ 38.19% จากราคาปิดวันที่ 19 ธ.ค.49, หุ้น PTTEP ราคาปิดที่ 125 บาท เพิ่มขึ้น 40 บาท หรือ 47.06% จากราคาปิดวันที่ 19 ธ.ค.49
หุ้น ATC ราคาปิดที่ 64 บาท เพิ่มขึ้น 36.25 บาท หรือ 130.63 % , หุ้น TOP ราคาปิดที่ 78 บาท เพิ่มขึ้น 30 บาท หรือ 62.5 %, หุ้น RRC ราคาปิดที่ 20.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.10 บาท หรือ 33.12 %
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบทวิเคราะห์หลายบริษัทได้มีการปรับราคาพื้นฐานเพิ่มขึ้นแต่ในกรณี PTT ยังพบว่ามีความเสี่ยงเกี่ยวกับการตัดสินคดีของศาลปกครอง กรณีที่กลุ่มมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคกับพวกรวม 5 คน ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง เมื่อเดือนกันยายน 2549 เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) พ.ศ.2544 และ พระราชกฤษฎีกา กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ.2544 ซึ่งเกี่ยวกับการแปลงสภาพการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ตาม พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ซึ่งอาจจะทำให้บริษัทต้องขาดคุณสมบัติในการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สำหรับราคาประเมินของบริษัทหลักทรัพย์จากสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์พบว่าราคาเฉลี่ยหุ้น PTT อยู่ที่ 283 บาท, หุ้น PTTCH อยู่ที่ 91.82 บาท, หุ้น PTTEP อยู่ที่ 109.94 บาท, หุ้น ATC อยู่ที่ 61.43 บาท, หุ้น TOP อยู่ที่ 76.99 บาทและหุ้น RRC อยู่ที่ 20.77 บาท
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ส่วนตัวมองว่าศาลปกครองจะไม่มีการพิจารณาให้บมจ.ปตท.ถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นต่อนักลงทุนที่รุนแรงมากพอกับช่วงที่ธปท.ประกาศใช้มาตรการกันสำรอง 30% เพราะบริษัทมีมาร์เกตแคปสูง ซึ่งศาลปกครองอาจจะมีการการหาวิธีอื่นลงโทษหากการกระบวนการแปรรูปไม่ถูกต้อง เช่น การปรับให้มีการจ่ายเงินชดเชย หรืออื่นๆแทน
“ส่วนตัวไม่เชื่อว่าศาลปกครองจะมีการตัดสินให้ปตท.ถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะ ผลกระทบจากการดำเนินการดังกล่าวรุนแรงมากกว่าที่จะรองรับได้ และคนอาจจะรับไม่ได้ ผมเดาว่าน่าจะมีทางออกที่ดีกว่าได้ หากกระบวนการแปรูปไม่ถึกก็อาจให้มีการจ่ายเงินชดเชย ยังไม่เชื่อว่าให้ปตท.ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ”นายกัมปนาท กล่าว
ทั้งนี้จากที่ราคาหุ้นปตท.ได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ส่วนตัวมองว่าราคาหุ้น PTT มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 300 บาทต่อหุ้น จากนักลงทุนต่างประเทศยังคงเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักลงทุนต่างชาติประเมินว่าราคาหุ้น ปตท.น่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ที่ 300 บาทต่อหุ้นได้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา จากมองว่าบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ในช่วงนั้นนักลงทุนไทยไม่เชื่อ
นายมงคล พ่วงเภตรา เจ้าหน้าที่วิเคราะห์อาวุโส บล.แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ผลประกอบการของ PTT ในไตรมาส 2 น่าจะปรับตัวขึ้น เนื่องมาจากผลประกอบการของบริษัทลูกที่น่าจะเพิ่มขึ้น อาทิเช่น RRC ที่ผลประกอบการน่าจะเพิ่มขึ้นตามค่าการกลั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 8 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วน PTTEP นั้นในไตรมาส 2 บริษัทได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตและได้รับผลดีจากราคาแก๊สที่เพิ่มมากขึ้น ขณะที่บริษัทลูกอื่นทั้ง PTTCH , ATC และ TOP ก็น่าจะมีผลประกอบการที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน
ส่วนสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกนั้น ในระยะสั้นน่าจะทรงตัวอยู่ในระดับมากกว่า 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 1 บาร์เรล เนื่องมาจากปัญหาในประเทศไนจีเรียที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ประกอบกับปริมาณน้ำมันที่ขายในโลกน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก ซึ่งเป็นผลมาจากกลุ่มโอเปกไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ตามที่วางแผนไว้ แต่หลังจากนี้อีก 1-2 สัปดาห์ปัญหาในประเทศไนจีเรียน่าจะคลี่คลาย ส่งผลให้ราคาน้ำมันน่าจะมีการปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือนสิงหาคมขึ้นอยู่กับว่าพายุเฮริเครนจะส่งผลต่อการขุดเจาะน้ำมันเพียงใด
แหล่งข่าวจากบล.นครหลวงไทย กล่าวว่า การที่หุ้นของ PTT เพิ่มขึ้นในขณะนี้นั้น เนื่องมาจากเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้แนะนำให้ "ซื้อ" กำหนดราคาเหมาะสมที่ 302 บาท ซึ่งค่อนข้างจะใกล้เคียงกับราคาในปัจจุบันของหุ้นดังกล่าว และในอนาคตอาจจะมีการพิจารณาปรับมูลค่าเหมาะสมเพิ่มขึ้น
"ส่วนคดีของ PTT ที่จะมีการพิจารณา แนวโน้มไม่น่าจะรุนแรง คาดว่ามีโอกาสน้อยที่ศาลจะตัดสินให้ PTT ต้องออกจากเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ประเมินความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าวค่อนข้างต่ำ "
|