Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์9 กรกฎาคม 2550
กฤษดาฯเล็งตั้งโต๊ะเจรจาทุนเอเชียหากดีลกลุ่ม SOPHAST“ล่ม”             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน)

   
search resources

กฤษดามหานคร, บมจ.
Real Estate
วิรัตน์ เอี้ยวอักษร




“กฤษดามหานคร”เร่งฝ่ามรสุม ดึงกลุ่ม SOPHAST INTERCORP เสริมจุดแข็งด้านการเงิน คาดดีลนี้สรุป 20 ก.ค.นี้ เผยหากดีลล่ม พร้อมตั้งโต๊ะเจรจากลุ่มทุนใหม่จากเอเชีย 2 กลุ่ม

ปัญหาที่รุมเร้าบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปีก่อน กำลังจะได้รับการแก้ไขไปในทิศทางทางดีขึ้น โดยปัญหาหนักที่สุดของกฤษดาฯในช่วงนี้ คือ ปัญหาด้านการเงินที่จะต้องหาเงินมาชำระหนี้ และลงทุนโครงการใหม่

แผนการหาแหล่งเงินทุนใหม่นั้น ทางกฤษดาฯมีแผนที่จะเปิดทางให้กลุ่ม SOPHAST INTERCORP เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในกฤษดาฯ ในสัดส่วน 60% และกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมจะลดสัดส่วนลง ซึ่งกลุ่ม SOPHAST INTERCORP จะใส่เงินลงทุนเข้ามาจำนวน 3,000 ล้านบาท โดย 2,000 ล้านบาท จะนำไปใช้ในการหนี้จากการปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนที่เหลืออีก 1,000 ล้านบาท จะนำไปใช้ในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ และจะออกหุ้นกู้ประมาณ 400-500 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจบ้านจัดสรร

วิรัตน์ เอี้ยวอักษร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสและกรรมการ บริษัท กฤษดามหานคร (KMC) เปิดเผยว่า กลุ่ม SOPHAST INTERCORP เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างนักลงทุนฮ่องกง 1 ราย และคนไทย 3 ราย มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในบริษัท เพราะเห็นว่าบริษัทมีศักยภาพในการพัฒนาโครงการระดับกลางถึงบน รวมถึงมีแลนด์แบงก์จำนวนมาก เหมาะที่จะพัฒนาโครงการระดับบน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้าต่างประเทศที่ทางกลุ่ม SOPHAST INTERCORP มีพันธมิตรในธุรกิจเรียลเอสเตท และมีฐานลูกค้ากลุ่มดังกล่าวจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้แผนการขยายธุรกิจของกลุ่ม SOPHAST INTERCORP ในประเทศไทยเติบโตขึ้นด้วย

ทั้งนี้ กฤษดาฯมีการเจรจากลุ่ม SOPHAST INTERCORP มานานพอสมควร และน่าจะได้ข้อสรุปในวันที่ 20 ก.ค.นี้ และเชื่อว่า การเจรจาจะจบลงด้วยดี โดยกลุ่ม SOPHAST INTERCORP จะเข้ามาถือหุ้นใหญ่ในกฤษดาฯทันที อย่างไรก็ตาม หากการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จ ทางกฤษดาฯพร้อมที่จะเจรจากับกลุ่มทุนรายใหม่ทันที ซึ่งมีกลุ่มทุนจากเอเชีย 2 ราย สนใจเข้ามาร่วมทุนด้วย

“ หากแผนร่วมทุนกับกลุ่ม SOPHAST INTERCORP ไม่ประสบความสำเร็จ ทางกฤษดาฯจะใช้เงินสดหมุนเวียนไปชำระหนี้บางส่วน และขอปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ ซึ่งอาจจะทำให้แผนการชำระหนี้ช้าออกไป รวมถึงจะกระทบต่อแผนการลงทุนโครงการใหม่ แต่จะไม่กระทบต่อแผนการสร้างรายได้มากนัก เพราะโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินงาน 7 แห่ง มียอดขายดี สามารถนำเงินมาใช้หมุนเวียนได้”วิรัตน์ กล่าว

วิรัตน์ กล่าวว่า หลังจากแผนการร่วมทุนเป็นผลสำเร็จ บริษัทจะขออนุมัติต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่อขายหุ้นกู้จำนวน 400-500 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งอาจจะเป็นเงินไม่มากนัก แต่ยังมีผู้ถือหุ้นบางรายที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์การแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ์ (วอแรนท์) อีกประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งหากมีการแปลงสภาพทั้งหมด จะทำให้มีเงินเข้าบริษัทถึง 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะนำไปใช้ลงทุนโครงการใหม่ได้

ด้านธเนศว์ สิงคาลวณิช กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานคร กล่าวว่า แผนการลงทุนโครงการในปีนี้จะเน้นพัฒนาโครงการในแนวสูงใกล้ระบบขนส่งมวลชน ซึ่งมีแผนที่จะนำที่ดินบริเวณซอยโชคชัยร่วมมิตร ฝั่งติดถนนรัชดาภิเษก บนพื้นที่ 300 ตารางวาเศษ มาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ภายใต้แบรนด์ “เดอะ คริส” จำนวน 100 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 1.6-1.7 ล้านบาท มูลค่า 500 ล้านบาท

ส่วนความคืบหน้าโครงการ “เดอะ คริส”รัชดาภิเษก ซอย 17 ขณะนี้ปิดการขายอาคาร 1-2 แล้ว และอาคาร 3 มียอดขาย 60% ส่วนอาคาร 4 มียอดขาย10% ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวสามารถพัฒนาได้ถึง 7 อาคาร

สำหรับยอดขายปีนี้ บริษัทปรับลดเป้ายอดขายลงจาก 2,400 ล้านบาท เหลือ 1,600-1,800 ล้านบาท มาจากยอดขายจากโครงการแนวราบประมาณ 700 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากโครงการแนวสูงประเภทคอนโดมิเนียมอีก 1,000-1,200 ล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us