บิ๊กพฤกษาฯ ลั่นปีนี้ยอดรับรู้รายได้ตามเป้าหมื่นล้านบาท แม้จะเจอเหตุการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ระบุโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ไอวี่ มีส่วนหนุนยอดรายได้ เล็งเปิดโครงการ 2 โซนราษฎร์บูรณะ ขณะที่กลุ่มลูกค้าระดับกลางยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS เปิดเผยว่า ทางบริษัทยังคงไม่มีการปรับเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ในปีนี้ แม้ว่าสถานการณ์ต่างๆจะไม่เอื้ออำนวย โดยคาดว่ายอดรับรู้รายได้จะสามารถทำได้ที่ระดับ 10,000 ล้านบาท จากยอดขายที่วางไว้ 12,000 ล้านบาท ซึ่งยอดรับรู้รายได้หลักจะมาจากโครงการแนวราบ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยวประมาณ 4,000 ล้านบาท โครงการทาวน์เฮาส์ประมาณ 5,500 ล้านบาทและที่เหลือจะมาจากการขยายตลาดไปสู่โครงการคอนโดมิเนียม ซึ่ง โครงแรกที่เปิดตัวและประสบผลสำเร็จทางยอดขายคือ โครงการไอวี่ รัชดา ที่ใกล้จะปิดการขายโครงการแล้ว และเตรียมที่จะเปิดโครงการ 2 คือ โครงการคอนโดมิเนียมไอวี่ ริเวอร์ ราษฎร์บูรณะ
“ ในตอนนี้ แผนธุรกิจของพฤกษายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง เห็นได้จากยอดรับรู้รายได้ในครึ่งปีแรกสามารถทำได้ประมาณ 4,200-4,3000 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปีที่หมื่นล้านบาท และคาดว่าตัวเลขรวมในปี 2550 อาจจะดีกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ”นายทองมากล่าว
อนึ่ง ตามรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1 ปี 2550 บริษัทมีรายได้รวม 1,892 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 192 ล้านบาท คิดเป็น 9% เนื่องจากรายได้ในส่วนของบ้านเดี่ยวลดลง และก่อนหน้านี้ ทางผู้บริหารระบุว่าในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม บริษัทสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 2,010 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2549 บริษัทมีรายได้รวมจากการประกอบธุรกิจจำนวน 8,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.45% จากปี 2548 ที่มีรายได้ 7,635 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในปี 2549 จำนวน 1,303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.44% จากปี 2548 ที่มีกำไรสุทธิ 1,272 ล้านบาท
นายทองมา กล่าวถึงแนวโน้มความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยว่า กลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงล่าง ยังมีความต้องการที่จะซื้อที่อยู่อาศัย เพียงแต่ขณะนี้อาจจะมีปัจจัยในเรื่องของการเมืองและเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของลูกค้า ดังนั้น สิ่งที่บริษัทต้องพยายามทำคือ การพัฒนาบ้านต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้ ซึ่งต้องมาวัดน้ำหนักถึงสิ่งที่ลูกค้าต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราคาที่ค่อนข้างมีความอ่อนไหวต่อลูกค้า ถ้าราคาขายสูงเกินไปจนลูกค้าคิดว่าสู้ไม่ไหว ก็จะชะลอการตัดสินใจหรือไปเลือกโครงการอื่นๆที่ราคาถูกกว่า
“ ถ้าสามารถทำให้ลูกค้าพอใจ ทั้งในเรื่องของการได้บ้าน บริการและรูปแบบของบ้านที่เสนอให้แก่ลูกค้าแล้ว จะยิ่งช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้น จะเห็นได้ว่า ทางบริษัทให้ความสำคัญกับระบบเทคโนโลยีในการผลิตบ้านให้ทันกับความต้องการของลูกค้า แต่คุณภาพของวัสดุภายในได้มาตรฐาน อย่างเช่น โครงการทาวน์เฮาส์จาก 60 วันให้เหลือเพียง 45 วันในการผลิตบ้านจนเสร็จพร้อมโอน เป็นต้น ”ประธานกรรมการบริหารฯกล่าว
อนึ่ง ในเรื่องของการปรับปรุงคุณภาพลูกค้า ทางบริษัทให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าดังกล่าว โดยเฉพาะลูกค้าที่ไม่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์กลับมาเป็นลูกค้าดี ซึ่งทางบริษัทสามารถดึงลูกค้ากลุ่มนี้มาได้คิดเป็นมูลค่าการขายประมาณ 22 ล้านบาท จากมูลค่าการขายที่ลูกค้าไม่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อจำนวน 2,000 ล้านบาท โดยในปี 2550 ทางบริษัทวางเป้านำลูกค้าที่ไม่ผ่านการให้สินเชื่อจากธนาคารกลับมาเป็นลูกค้าดีประมาณ 180 ล้านบาท ซึ่งได้มีการประสานความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.), ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นต้น
|