|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นไทยร้อนสุดๆ เดินหน้าทำสถิติใหม่อีก นักลงทุนต่างชาติเก็บเพิ่มเกือบ 6 พันล้าน แค่ 3 วันซื้อสุทธิกว่า 1.6 หมื่นล้าน “โฆสิต” เตือนนักลงทุนระวังผันผวนรุนแรง เผยภาครัฐจับตาใกล้ชิดเงินที่ไหลเข้า นายกสมาคมโบรกเกอร์ หวั่นต่างชาติพร้อมใจเทขายเก็งกำไรชี้ฉุดตลาดหุ้นทรุดแน่เหตุยอดซื้อย้อนหลัง 3 ปีมากกว่า 2 แสนล้าน ด้าน "ภัทรียา" แนะนักลงทุนซื้อหุ้นต้องรอบคอบ ขณะที่บรรดาโบรกเกอร์ ยังงงไม่หาย หุ้นขึ้น 3 วัน 50 จุด สวนทางปัจจัยการเมืองยังไม่จบ
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4 ก.ค.) ดัชนตลาดหุ้นยังคงเดินหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ทำให้ 3 วันทำการดัชนีบวกไปแล้วเกือบ 50 จุด หลังนักลงทุนต่างชาติเป็นทุ่มซื้อหุ้นขนาดใหญ่ทั้งกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ไม่หยุด แต่การปรับขึ้นในรอบนี้ของดัชนีสร้างความกังวลงให้กับผู้ที่อยู่ในแวดวงมายาวนานว่า หากมีการเทขายออกมาพร้อมกันของนักลงทุนต่างชาติชะตากรรมของตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร
ล่าสุด วานนี้ (4 ก.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 825.45 จุด เพิ่มขึ้น 11.93 จุด หรือ 1.47% โดยจุดสูงสุดของวันอยู่ที่ 829.57 จุดและต่ำสุดอยู่ที่ 811.89 จุด มูลค่าการซื้อขาย 40,037.60 ล้านบาท มีนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 5,829.90 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 855.92 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 4,953.98 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในระยะเวลาเพียง 3 วันทำการนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 16,183.72 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 275.50 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 16,459.22 ล้านบาท
"โฆสิต"โยนธปท.สอบเงินซื้อหุ้น
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรณีที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง แสดงให้เห็นว่าการลงทุนภาคอุตสาหกรรมจะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่การปรับตัวขึ้นอย่างผันผวนนักลงทุนเองต้องระมัดระวัง ส่วนการที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากจนมองว่าหากเป็นความผันผวนหรือภาวการณ์รุนแรงนักลงทุนก็ควรต้องระมัดระวัง แต่พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยเข้มแข็ง คงไม่มีผลกระทบอะไรมาก ส่วนภาครัฐจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
“คงต้องช่วยกันดูเพราะการเข้ามาของเม็ดเงินในตลาดหุ้นซึ่งคาดว่าขณะนี้คงจะมีราว 3-4 หมื่นล้านบาท อาจเป็นไปได้ว่าเป็นโอกาสที่เศรษฐกิจจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นหรืออาจเป็นเงินทุนระยะยาวที่เข้ามาได้ เรื่องนี้ต้องรอดูอีกสักระยะหนึ่ง”
พร้อมกันนี้ นายโฆสิต ได้กล่าวปฏิเสธว่า เงินที่เข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 50 ไม่ใช่เงินที่ทาง คตส.ตรวจสอบอยู่ เพราะเงินที่ติดตามอยู่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ขณะที่เงินที่เข้ามาช้อนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีไม่มากเท่านั้น อยู่ในกลุ่มหุ้นของบลูชิพซึ่งมีพื้นฐานดี
“เราจะขอเวลาติดตามดูแหล่งเงินอีกสักระยะ ว่าแหล่งที่มีเกี่ยวกับกลุ่มอำนาจเก่าหรือไม่ แต่ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นภารกิจโดยตรงที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องติดตาม ส่วนเรื่องการลงทุนจริงๆ ต้องดูระยะยาว”
นายกฯโบรกเตือนระวังผันผวน
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนิตี้ จำกัด ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นไทยอย่างร้อนแรงอาจจะทำให้มีการปรับฐานในช่วงเร็วๆ นี้ แต่หากนักลงทุนต่างชาติที่เป็นกลไกสำคัญของตลาดหุ้นยังมีความมั่นใจต่อแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศจะยังสามารถดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาได้อีก
ทั้งนี้ ยังมีเรื่องที่น่าเป็นห่วงหากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อสุทธิต่อเนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่านมาสูงมากกว่า 2 แสนล้านบาทจะพร้อมใจขายหุ้นไทยออกมา เนื่องจากมีข่าวไม่ดีเข้ามากระทบความมั่นใจ ซึ่งจะส่งผลกดดันให้ตลาดหุ้นไทยอาจจะปรับตัวลดลงค่อนข้างรุนแรง แต่มีโอกาสไม่มากนักที่ต่างชาติจะพร้อมใจเทขาย เพราะตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจ แต่อาจจะมีการเทขายทำกำไรออกมาบ้าง
“ถ้าต่างชาติขายหุ้นออกไปแล้ว เงินอาจจะวนเวียนอยู่ในตลาดหุ้นภูมิภาคนี้ แต่สุดท้ายเชื่อว่าจะต้องกลับมาเพราะตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจจากราคาหุ้นที่ถูกมาก ขณะที่ปัจจัยที่จะทำให้นักลงทุนต่างชาติขายหรือซื้อ คือ แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ ขณะที่การเมืองจะประเมินเพียงแค่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจเท่านั้น"นายกัมปนาท กล่าว
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า นักลงทุนจะต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยจะต้องพิจารณาจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนเป็นหลัก และควรเน้นการลงทุนในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น เนื่องจากการปรับตัวในช่วงสัปดาห์นี้รุนแรงมาก
“นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนเพิ่มอีกหรือไม่นั้น ขณะนี้หลายฝ่ายจับตาการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร”
โบรกฯงงหุ้นขึ้นพื้นฐานไม่เปลี่ยน
แหล่งข่าวผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า การปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีในรอบนี้จากที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเกิดจากชัดเจนทางการเมืองที่มีมากขึ้น แต่ส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบันยังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนจากเดิมยังอาจจะเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้นในอนาคตได้ ทำให้ไม่เข้าใจว่าในรอบนี้ที่ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 50 จุดในช่วง 3 วันสะท้อนปัจจัยพื้นฐานของประเทศจริงหรือไม่
“หากดัชนีจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้น คงไม่ได้สร้างความแปลกใจ เพราะราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดมาโดยตลอด แต่การปรับขึ้นแบบช่วง 3 วันที่ผ่านมานั้นไม่มีเหตุผลที่รองรับเพียงพอ อาจจะเป็นการพยายามสร้างความสนใจว่าเศรษฐกิจไทยพร้อมจะเติบโตขึ้น แม้ว่าปัจจุบันจะยังอยู่ในสถานการณ์ที่ทหารเข้ามามีอำนาจในการดูแลประเทศ”
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตอนนี้นักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนการเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดในภูมิภาคนี้ ซึ่งน่าจะเกิดมาจากความต้องการเข้ามาเก็งกำไรให้ราคาหุ้นเท่ากับประเทศอื่นในภูมิภาคเดียวกัน เพื่อลดช่องว่างผลตอบแทนระหว่างตลาดไทยกับตลาดภูมิภาค
ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีน่าจะสามารถปรับตัวขึ้นไปได้ถึงระดับเพียง 820-840 จุด ยกเว้นจะมีปัจจัยบวกเสริมมาจากตลาดต่างประเทศเข้ามา แต่ถ้าไม่มีปัจจัยจากต่างประเทศเข้ามาเสริมซึ่งเมื่อดัชนีเพิ่มขึ้นไปถึง 840 จุด อาจจะมีการพักฐานและเกิดการชะลอการเติบโตของดัชนีต่อเนื่องจนกว่าจะมีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความแน่ชัดว่าการทำประชามติจะผ่านหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ถ้าประชามติว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญอาจจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองรุนแรงขึ้นอีกครั้ง เพราะแม้จะมีการนำรัฐธรรมนูญฉบับอื่นขึ้นมาแก้ไขและประกาศใช้แทน แต่ก็ไม่น่าจะได้รับการยอมรับจากประชาชนมากนัก ซึ่งจะทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า 800 จุด
ปรับกำไรบจ.จากลบเป็นบวก
นายพงศ์พันธุ์ อภิญญากุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า ความชัดเจนในหลายประเด็นที่เป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาส่งผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มอย่างโดดเด่นจากเม็ดเงินต่างชาติที่ยังไหลเข้ามาซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดย 3-4 ปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิแล้วมากกว่า 3 แสนล้านบาท รวมทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเข้ามาซื้อสิทธิอย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจกว่าตลาดหุ้นภูมิภาคนี้
ทั้งนี้ บริษัทได้มีการปรับประมาณการการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันทางเศรษฐกิจและการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น จากเดิมที่คาดว่าในปีนี้อัตราการเติบโตของกำไรบจ.จะเท่ากับปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันได้ปรับมาอยู่ที่เติบโต 5%
ขณะที่ในปีนี้คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรบจ.จะอยู่ที่ 15-20% เพราะต้นทุนในการผลิตสินค้าโดยเฉพาะราคาน้ำมันจะลดลงหลังไม่ต้องมีการชดเชยเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันลดลงอย่างน้อยลิตรละประมาณ 3 บาท ในส่วนของจีดีพีประเทศในปีนี้คาดว่าจะเติบโตจากเดิมที่คาดการณ์อยู่ที่ 3.8% และ 4.5%
"ปีหน้าต้นทุนสินค้าจะลดลง เพราะต้นทุนหลักในเรื่องราคาน้ำมันจะลดลง หลังไม่ต้องนำเงินเข้าไปชดเชยในกองทุนน้ำมันแล้ว ซึ่งน่าจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงประมาณลิตรละ 3 บาท"นายพงศ์พันธ์กล่าว
|
|
 |
|
|