เดอะมอลล์ กรุ๊ป ประกาศเดินหน้าทำตลาดเต็มสูบ ล่าสุดดึงซิตี้แบงก์ และวีซ่า ทุ่มงบ 3,000 ล้านบาท ผุดบัตรเครดิต ซิตี้ เอ็ม วีซ่า หมายมั่นปั้นมือช่วยกรุยทางโกอินเตอร์แผนอนาคต ด้านแผนทำตลาดครึ่งปีหลัง อัดกิจกรรมเต็มที่ เชื่อดันยอดขายสิ้นปีทะลุ 43,000 ล้านบาท
นางสาวศุภลักษณ์ อัมพุช รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานของเดอะมอลล์กรุ๊ปนับจากนี้จะเดินหน้าทำตลาดมากยิ่งขึ้น เพื่อรับกับการแข่งขันที่มีความรุนแรงในตลาด ล่าสุดบริษัทฯได้จับมือร่วมกับธนาคารซิตี้แบงก์ และวีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อเปิดตัวบัตรเครดิต ซิตี้ เอ็ม วีซ่า ที่สามารถใช้ได้กับศูนย์การค้าและร้านค้าชั้นนำทั่วโลก ซึ่งการทำตลาดโดยร่วมกับพันธมิตรที่มีศักยภาพในด้านการทำตลาดการเงินทั่วโลกเชื่อว่าจะขยายเครือข่ายได้ในอนาคตซึ่งตรงกับคอนเซ็ปท์ในการไปขยายตลาดต่างประเทศในอนาคตด้วย
สำหรับการร่วมกันเปิดตัวบัตรเครดิตทั้ง 2 ราย บริษัทฯได้จัดสรรงบประมาณกับพันธมิตรใช้งบในการพัฒนาระบบไอทีและทำการตลาดประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อสร้างแบรนด์บัตรเครดิตดังกล่าวให้เป็นที่รู้จักในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ โดยในปีแรกจะใช้อยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาท หลังจากนั้นจะลดลงมาเหลือปีละประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งงบที่ใช้จะแบ่งออกใช้สำหรับทำตลาดแต่ละช่วงให้ตรงกับความต้องการตลาดมากที่สุด
พร้อมกันนี้ภายหลังจากที่บริษัทได้เปิดตัวบัตรเครดิต ซิตี้ เอ็ม วีซ่า อย่างเป็นทางการคาดว่าภายในระยะเวลา 2-3 ปีนับจากนี้น่าจะมีจำนวนผู้ถือบัตรไม่ต่ำกว่า 300,000 ราย และเพิ่มเป็น 500,000 รายในปีที่ 5 ในขณะที่ภาพรวมของยอดรายได้ของศูนย์การค้าในเครือของบริษัททั้ง 3 แห่งไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้าสยามพารากอน ศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียม และห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาปกติไม่ต่ำกว่า 10% เพราะนอกจากจะได้สิทธิพิเศษในการใช้บัตรดังกล่าวแล้วยังได้ส่วนลดนอกเหนืออีกประมาณ 5-10% เมื่อใช้บริการภายในศูนย์การค้าของบริษัททั้ง 3 แห่งอีกด้วย
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนใช้งบประมาณ 5% ของรายได้รวมเกือบ 40,000 ล้านบาทของปีที่ผ่านมา เพื่อใช้ในการทำกิจกรรมทางการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมทางการตลาดทุกเดือนนับจากนี้ทั้ง 3 ศูนย์การค้าในกลุ่ม เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค
ในช่วงครึ่งปีหลังการแข่งขันค่อนข้างรุนแรงและน่าจะลำบากขึ้นมากกว่าปีก่อนๆเนื่องจากการเมืองและราคาน้ำมัน ค่าเงินบาทยังไม่มีความแน่นอนบริษัทได้รุกทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องคาดว่าจะผลักดันให้บริษัทมีรายได้รวมจากการบริหารศูนย์การค้าทั้ง 3 ยกตัวอย่าง ดิ เอ็มโพเรี่ยม ที่กำลังจะฉลองครบ 10 ปี และพารากอน ที่จะมีงานใหญ่ อาทิ เวิลด์วอท์ช บางกอกแฟชั่นวีค ไปจนถึงการครบรอบ 2 ปี อีกด้วย
นางสาวศุภลักษณ์ กล่าวด้วยว่า ถ้าหากมีการเลือกตั้ง และไม่มีปัญหาทางการเมืองเกิดขึ้น เราน่าจะมีรายได้เติบโตมากกว่า 10% เนื่องจากเรามีการทำกิจกรรมการตลาดกระตุ้นกำลังซื้อของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละงานที่จัดคาดว่าจะใช้งบไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท จึงทำให้เราค่อนข้างมีความมั่นใจ แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้จะยังน่าเป็นห่วง แต่ถ้าเปรียบเทียบกับช่วงปี 2540 มองว่าปีนี้ดีกว่า เนื่องจากเราสามารถผ่านช่วงวิกฤติตอนนั้นมาได้ ประกอบกับตอนนี้มีลูกค้านักท่องเที่ยวจากยุโรปและตะวันออกกลางเข้ามาช้อปปิ้งในศูนย์การค้าของเราเพิ่มขึ้น และเป้าหมายที่วางไว้คงเป็นไปไม่ยากจนเกินไปนัก
สำหรับผลประกอบการปีนี้จากการทำตลาดของกลุ่มบริษัทฯเชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโต อยู่ที่ประมาณ 8-9% หรือมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 43,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 38,000 ล้านบาท
|