|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นางจินตนา เฉลิมชัยกิจ ผู้อำนวยการ เครื่องสำอางและน้ำหอม บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล (มหาชน) ผู้ผลิตและทำตลาดสินค้าอุปโภคแบรนด์เนมชั้นนำ เช่น แบรนด์ บีเอสซี ชีนเน่ เพียว แคร์ เซนต์แอนดรูว์ ฯลฯ เปิดเผยว่า นโยบายการดำเนินงานของบริษัทฯนับจากนี้ มีแผนที่จะขยายฐานตลาดในต่างประเทศอย่างจริงจังและมากขึ้นกว่าเดิมที่ผ่านมา โดยจะใช้กลยุทธ์การแต่งตั้งพันธมิตรให้เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับผิดชอบการทำตลาดในแต่ละประเทศ
เนื่องมาจากภาวะตลาดและเศรษฐกิจในขณะนี้ไม่ค่อยดี กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง ปัจจัยลบต่างๆยังมีอีกมากส่งผลกระทบต่อการทำตลาด ดังนั้นการขยายฐานต่างประเทศน่าจะเป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้ฐานธุรกิจของบริษัทฯมีการเติบโตขึ้น
อีกทั้ง ยังเป็นการตอบรับกับนโบบายของทั้งเครือสหพัฒน์ที่มุ่งสู่ตลาดอินเตอร์เนชั่นแนลมากขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตในตลาดใหม่ๆ และคาดว่าจะมีความชัดเจนอย่างมากภายในสิ้นปีนี้ โดยบริษัทฯตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 5% ภายใน 3 ปีนับจากนี้ จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 1%
ขณะเดียวกัน การทำตลาดสินค้าหมวดเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว แบรนด์เนม อาทิ บีเอสซี ชีนเน่ เพียว แคร์ เซนต์ แอนดรูว์ ฯลฯ ในต่างประเทศนั้น เพราะหลังจากที่ประเทศไทยเข้าสู่เขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ อาฟตา(เอเอฟทีเอ) เรื่องภาษีจะมีความง่ายมากขึ้นไม่ลำบากหรือยุ่งยากเป็นปัญหามากเหมือนในอดีต ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯเล็งเห็นการทำตลาดด้วยการขยายตลาดใหม่ไปยังต่างประเทศเพื่อเป็นการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้อีกทางมีความง่ายขึ้น
ทั้งนี้บริษัทฯจะใช้ 2 แบรนด์หลักในการรุกตลาดต่างประเทศก่อนคือ แบรนด์บีเอสซี ซึ่งและแบรนด์ชีนเน่ซึ่งเป็นแบรนด์ของกลุ่มสหพัฒน์เอง รวมทั้งแบรนด์อื่นด้วยตามความเหมาะสมของแต่ละตลาด โดยตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าภายในช่วงระยะเวลา 3 ปีจากนี้ สินค้าของบริษัทฯที่รุกตลาดต่างประเทศจะต้องมีสินค้าที่วางจำหน่ายครอบคลุมในตลาดภูภาคเอเชีย นอกเหนือจากปัจจุบันที่มีบ้างแล้วในบางประเทศ เช่น พม่า กัมพูชา และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ทั้งนี้บริษัทฯจะใช้งบประมาณดำเนินงานประมาณ 15% ของยอดรายได้รวมที่มาจากการสั่งซื้อหรือออเดอร์ เพื่อนำมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายในตลาดต่างประเทศ
ล่าสุด บริษัทฯได้เซ็นสัญญากับพันธมิตรธุรกิจประเทศอินเดียคือ บริษัทวี อี โปรดักส์ เพื่อรับสิทธิ์เป็นตัวแทนการทำตลาดผลิตภัณฑ์แบรนด์เซนต์ แอนดรูว์ (St.andrews) และ บีเอสซี เพียวแคร์ ในประเทศกัมพูชา จากก่อนหน้าที่บริษัทฯทำตลาดผลิตภัณฑ์แบรนด์ชีนเน่ เป็นหลักในประเทศ พม่า เขมร ฟิลิปปินส์ ลาว ร่วมกับพันธมิตรคู่ค้าในแต่ละประเทศดังกล่าว
นอกจากแผนการบุกออกสู่ตลาดต่างประเทศแล้ว บริษัทฯยังได้ทดลอง เปิดตัวพร้อมทำตลาดสินค้าใหม่กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบรนด์ชีนเน่ สำหรับดูแลผิวพรรณ และผิวหน้าในรูปแบบแคปซูล โดยเบื้องต้นทำตลาดผ่าน 2 ช่องทาง คือ มุมจำหน่ายเครื่องสำอาง ค้าส่ง พลาซ่า เคาน์เตอร์ชีนเน่ และศูนย์การค้าประเภทดิสเคาน์สโตร์ ล่าสุดขยายทำตลาดผ่านแคตตาล็อกสินค้า ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้สินค้าแบรนด์ดังกล่าวจับกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น เป็นหลักและได้รับการตอบรับดี โดยมีอัตราเติบโตในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 5% ขณะที่ภาพรวมตลาดเครื่องสำอางมีอัตราเติบโตต่ำกว่าเฉลี่ยมีการติดลบอยู่ที่ -1%-2% จากมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีที่ผ่านมาแบรนด์ชีนเน่มีอัตราเติบโตคงที่และเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่แบรนด์ดังกล่าวทำตลาด พร้อมปรับเป้าการเติบโตสิ้นปีนี้อยู่ที่ 12% จากเดิมตั้งไว้ 15% จากปีที่ผ่านมามีอัตราเติบโต15%
|
|
|
|
|