Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน4 กรกฎาคม 2550
ฝรั่งเก็บบิ๊กแคปดันดัชนีพุ่ง             
 


   
search resources

Stock Exchange




ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหลายวันที่ผ่านมา ได้รับอานิสงส์จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/50 ที่จะประกาศออกมาจะดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยดัชนีกลุ่มพลังงานวานนี้ (3 ก.ค.) ปิดที่ 17,369.06 จุด เพิ่มขึ้น 481.34 จุด หรือ 2.85% ขณะมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 10,507.60 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีกลุ่มธนาคารพาณิชย์ดัชนีปิดที่ 315.71 จุด เพิ่มขึ้น 19.63 จุด หรือ 6.63% มูลค่าการซื้อขาย 8,998.80 ล้านบาท

ทั้งราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่นหุ้นบมจ.ปตท. หรือ PTT ราคาปิดที่ 284 บาท เพิ่มขึ้น 6 บาท หรือ 2.16% มูลค่าการซื้อขาย 2,373.72 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ราคาปิดที่ 76 บาท เพิ่มขึ้น 4.50 บาท หรือ 6.29% มูลค่าการซื้อขาย 2,203.08 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ปตท.ผลิตและสำรวจปิโตรเลียม หรือ PTTEP ราคาปิดที่ 115 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท หรือ 4.55% มูลค่าการซื้อขาย 1,693.49 ล้านบาท, หุ้นบมจ.โรงกลั่นน้ำมันระยอง หรือ RRC ราคาปิดที่ 19.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 1.02% มูลค่าการซื้อขาย 1,550.89 ล้านบาท

ด้านราคาหุ้นธนาคารที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY ราคาปิดที่ 29.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ 13.46% มูลค่าการซื้อขาย 991.85 ล้านบาท, ธนาคารนครหลวงไทย หรือ SCIB ราคาปิดที่ 21.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 7.65% มูลค่าการซื้อขาย 781.38 ล้านบาท, ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ราคาปิดที่ 82 บาท เพิ่มขึ้น 5.50 บาท หรือ 7.19% มูลค่าการซื้อขาย 1,445.70 ล้านบาท, ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ราคาปิดที่ 80 บาท เพิ่มขึ้น 5 บาท หรือ 6.67% มูลค่าการซื้อขาย 1,043.23 ล้านบาท, ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB ราคาปิดที่ 12.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท หรือ 6.61% มูลค่าการซื้อขาย 1,955.92 ล้านบาท

นางวิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคิน จำกัด เปิดเผยว่า วานนี้การที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯปรับตัวเพิ่มขึ้น มูลค่าการซื้อขายส่วนใหญ่มาจากกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องมาจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าผลประกอบการของกลุ่มดังกล่าวในไตรมาส 2 น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในกลุ่มพลังงานคาดว่าในไตรมาส 2 บริษัทที่มีผลประกอบการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน คือ บริษัท ปตท สำรวจและผลิตปิโตเลียม หรือ PTTEP และบมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ส่วนในกลุ่มของธนาคารพาณิชย์นั้น ผลประกอบการก็น่าจะปรับตัวขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK ซึ่งน่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันราคาในกลุ่มธนาคารนั้นมีการปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่องมาหลายวัน ทำให้หลายธนาคารราคาใกล้เต็มมูลค่าแล้ว ซึ่งอาจจะส่งผลให้ในระยะสั้นการเพิ่มขึ้นของราคาในหุ้นกลุ่มดังกล่าวไม่มากนัก ส่วนในกลุ่มพลังงานนั้น แม้ราคาจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังห่างจากมูลค่าเหมาะสมค่อนข้างมาก ทำให้น่าจะมีอีกหลายบริษัทที่ราคายังสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง

แหล่งข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นตอบรับข่าวที่ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) อาจจะมีการพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยลงอีกครั้ง หลังจากที่ตัวเลขเงินเฟ้อของเดือนพฤษภาคม ไม่สูงอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยผลประกอบการของกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ในไตรมาส 2 น่าจะปรับตัวขึ้นมาก ส่วนธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก อาจจะมีอัตราการเติบโตที่ไม่มากนัก เพราะยังมีบางธนาคารที่ยังตั้งสำรองเงินไม่ครบตามระบบบัญชีใหม่

ขณะที่กลุ่มพลังงานได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นทำสถิติใหม่ในรอบเกือบ 1 ปี ทำให้ราคาหุ้นหลายบริษัทในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวขึ้น โดยคาดว่าน่าจะยังคงปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่น ที่ราคาการกลั่นยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สมาคมนักวิเคราะห์เล็งสำรวจใหม่

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ภายในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าสมาคมฯจะมีการสำรวจความคิดเห็นบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ เกี่ยวกับแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯในสิ้นปีนี้ ซึ่งคาดว่าบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆจะปรับประมาณการดัชนีเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเป็น 780-840 จุด จากเดิมค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 731 จุด

ทั้งนี้ การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากตัวแปร 2 ปัจจัยหลัก ซึ่งประกอบด้วยอันดับแรกคือ นักลงทุนคลายความกังวลปัจจัยทางการเมืองที่มีความชัดเจนจากที่ 2 เดือนที่ผ่านมากระแสการต่อต้านจากกลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มเบาบางลง ขณะที่ก่อนหน้านี้เป็นตัวแปรที่สำคัญต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดยคาดว่านักวิเคราะห์จะมีการปรับลดเป้าอัตราดอกเบี้ยปีนี้ต่ำกว่าครั้งที่ผ่านมาที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3.5% เพราะในตลาดพันธบัตรมองว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 3% ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อมีทิศทางที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

นอกจากนี้ยังคาดว่าค่า P/E ตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 11-12 เท่าจากช่วงก่อนหน้านี้ที่ระดับ 10 เท่า เนื่องจากจากการปรับเพิ่มของดัชนีภายหลังจากที่สถานการณ์การเมืองที่ดีขึ้น และมองว่าหุ้นขนาดใหญ่หุ้นหลายบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น พลังงาน และธนาคารพาณิชย์ที่ปัจจุบันราคายังไม่เต็มมูลค่าที่มีการประเมินไว้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us