|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ลอรีอัล ชูสินค้าในเครือ 15 แบรนด์เป็นเรือธง รุกตลาดความงามทุกช่องทางในปี'50 เผยตัวเลขครึ่งปีแรกพุ่ง 21% โตเป็นอันดับสองของเอเชีย พร้อมวางนโยบายบุกสกินแคร์-แฮร์แคร์ต่อเนื่อง ล่าสุดเตรียมส่ง "เมทริกซ์" ผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผม เจาะช่องทางซาลอนจับลูกค้าระดับแมส หลังจากต้นปีเข็น "แอลแซฟ" ลุยศึกแชมพูพรีเมียม-แมส ดูดแชร์ได้ 5% ภายใน 3 เดือน การบุกหนักครั้งนี้ลอรีอัลหวังโตถึง 20% ทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี
ด้วยศักยภาพของตลาดความงามในไทยมูลค่า 46,000 ล้านบาท ที่มีการเติบโตกว่า4 - 5% ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดดังกล่าวมีความรุนแรงต่อเนื่อง โดยมีผู้เล่นทั้งหน้าเก่า รายใหม่แวะเวียนเข้ามาสร้างสีสันในตลาดนี้อย่างไม่ขาดสาย โดยตลาดความงามในไทยสามารถแบ่งออกเป็น ตลาดสกินแคร์ มีการเติบโต 12% ตลาดแฮร์แคร์ เติบโต 7% ตลาดแฮร์ คัลเลอร์ เติบโต 12% ตลาดเมคอัพ เติบโต 8% และตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายมีการเติบโต 50%
ทั้งนี้ "ลอรีอัล" 1 ใน 3 ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจความงาม นับเป็นผู้เล่นที่บทบาทอย่างมาก เนื่องจากมีสินค้าที่มาชนกับคู่แข่งในทุกเซกเมนต์ และครอบคลุมทุกช่องทาง ตั้งแต่ แมส, เคาเตอร์แบรนด์, ซาลอน และร้านขายยากับโรงพยาบาล ซึ่งลอรีอัลล้วนให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าและทำตลาดกับผู้บริโภคในทุกช่องทาง ที่ปีนี้ได้วางนโยบายจะทำตลาดกับสินค้า 15 แบรนด์ที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสกินแคร์และผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผม เห็นได้จากการเตรียมลอนช์ "เมทริกซ์" ผลิตภัณฑ์เพื่อเส้นผมที่ลอรีอัลจะนำเข้ามาจำหน่ายผ่านช่องทางซาลอน โดยจะเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อเจาะลูกค้าระดับแมส จากเดิมที่การทำตลาดช่องทางร้านเสริมสวย หรือช่องทางซาลอน ลอรีอัลจะมี "เคเรสตาส" ราคาแชมพูขวดละประมาณ 900 บาท จับลูกค้าระดับพรีเมียม กับ "ลอรีอัล โปรเฟรชชันแนล" ราคาแชมพูขวดละประมาณ 500 บาท จับลูกค้าระดับกลาง ดังนั้น "เมทริกซ์" ที่มีราคาประมาณ 300 บาท จึงเป็นจิ๊กซอว์มาช่วยเสริมทัพให้ลอรีอัลมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการบุกตลาดซาลอน จากตอนนี้ที่ลอรีอัลครอบคลุมร้านทำผม 2,000 แห่งจากทั้งหมด 10,000 แห่ง
"กลยุทธ์ของลอรีอัลปีนี้ จะเน้นผลักดันสินค้าที่เราเชื่อว่ามีศักยภาพออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสกินแคร์และกลุ่มแฮร์แคร์ พร้อมทุ่มงบการตลาดเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลักเมื่อเทียบกับปีก่อน" เป็นคำกล่าวของ ฌอง ฟิลิปป์ ชาร์ริเย่ร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ลอรีอัลมั่นใจลอนช์สินค้าเพื่อเส้นผมครั้งนี้ในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ ส่วนหนึ่งอาจมาจากความสำเร็จในการเข็น "แอลแซฟ(Elseve)" เข้ามาทำตลาดอีกครั้งในช่องทางแมสเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยวัดจากการคว้าส่วนแบ่งตลาดได้ถึง 5% ภายใน 3 เดือน ทั้งที่มีราคาสูงกว่าคู่แข่งในตลาด 15% ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายกับแบรนด์ใหม่ที่เข้ามาร่วมแจมในตลาดด้วยระยะเวลาเท่านี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นลอรีอัลเคยนำเข้าและถอดแบรนด์ "แอลแซฟ" ออกไปเมื่อราว 7 - 8 ปีก่อน เนื่องจากเป็นสินค้าที่ราคาสูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตอนนั้น ซึ่งผู้บริโภคยังไม่มีความเข้าใจหรือยอมรับได้เหมือนปัจจุบัน ซึ่งยากต่อการแข่งขันโดยเฉพาะกับโลคัล แบรนด์
"แบรนด์แอลแซฟสามารถดึงแชร์ได้ 5% ภายในเวลา 3 เดือน เร็วกว่าที่บริษัทตั้งเป้าไว้ โดยมาจากการสวิตส์ของลูกค้ากลุ่มแมสและลูกค้าร้านซาลอน" สดับพิณ คำนวณทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์และสื่อสารองค์กร บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
ทว่า ปัจจุบันผู้บริโภคความเข้าใจ และมีพฤติกรรมให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาเส้นผมมากขึ้น ส่งผลให้ "แอลแซฟ" ที่มีโพซิชันนิ่งเป็นแบรนด์ผู้เชี่ยวชาญการดูแลเส้นผม (Expert Care Brand) ได้การตอบรับเป็นอย่างดี แม้จะมีการสื่อสารให้ผู้บริโภคดูแลผมมากถึง 4 ขั้นตอน คือ การทำความสะอาด การซ่อมแซมเส้นผมด้วยแฮร์แพคชนิดล้างออกหลังสระผม การปกป้องเกล็ดผมด้วยคอนดิชันเนอร์ชนิดล้างออก และการใช้ลีฟ-ออน ทรีทเม้นท์บำรุงเป็นขั้นตอนสุดท้าย และเพื่อเชื่อมแบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้าคนไทยได้ดียิ่งขึ้น ลอรีอัลฯจึงให้สินจัย เปล่งพานิชมาร่วมแคมเปญโฆษณากับพรีเซนเตอร์จากต่างประเทศด้วย เช่น เพเนโลเป้ ครูซ และเอลา ลองโกเลีย
ขณะที่สินค้ากลุ่มอื่นๆ เช่น สกินแคร์ ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชาย บริษัทก็จะมีการผลักดันและออกนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เนื่องจากผลิตภัณฑ์เพื่อความงามในไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพและสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยพบว่า พฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามของผู้หญิงไทยเพิ่มเป็น 2 - 3 ชิ้นต่อคน จากเมื่อ 10 ปีก่อนที่ใช้เพียง 1 คนต่อ 1 ชิ้น ซึ่งอนาคตคาดว่าจะมีการพัฒนาเป็น 5 - 6 ชิ้นต่อคน
สำหรับการวางแผนบุกหนักในปีนี้ ลอรีอัลฯเชื่อว่าจะช่วยให้สามารถเติบโตขึ้น 20% เทียบกับปีก่อน ซึ่งนับว่าเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยครึ่งปีแรกตัวเลขขยับแล้ว 21% สูงเป็นอันดับ 2 ของเอเชียรองจากจีน ทั้งนี้รายได้ของลอรีอัลฯ มาจาก 4 ช่องทาง ประกอบด้วย ตลาดแมส ที่ทำรายได้หลัก ช่องทางห้างสรรพสินค้า ช่องทางร้านซาลอน และช่องทางโรงพยาบาลและร้านขายยา
|
|
|
|
|