นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสและกรรมการ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1,500 ล้านหุ้น ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 1 บาท และได้มีนักลงทุน กลุ่ม SOPHAST INTERCORP สนใจที่จะซื้อหุ้นดังกล่าว โดยเท่าที่ได้มีการเจรจาในเบื้องต้น คาดว่ากลุ่มทุนดังกล่าวน่าจะตัดสินใจซื้อหุ้นเพื่อมาร่วมทุนกับKMC และคาดว่าผลการเจรจาน่าจะจบลงในวันที่ 20 ก.ค.50 นี้ ตามเงื่อนไขที่ได้เจรจากันไว้ คือ ทางกลุ่มทุนดังกล่าวจะต้องใส่เม็ดเงินจำนวน 3,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น จำนวนเงิน 2,000 ล้านบาท นำไปใช้ในการเคลียร์หนี้จากการปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ซึ่งรวมเงินต้นและดอกเบี้ยด้วย ส่วนที่เหลืออีก 1,000 ล้านบาท จะนำไปใช้ในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ และการออกหุ้นกู้ประมาณ 400-500 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไข
“ หากกลุ่ม SOPHASTINTERCORP ยอมที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตร ก็จะทำเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 60% ทำให้ภาพด้านลบของ KMCหายไป และยังทำให้KMC แข็งแกร่งได้เร็วกว่าเดิม และเชื่อว่ากลุ่มทุนดังกล่าว ยังช่วยดันลูกค้าต่างประเทศเข้ามามากขึ้น และจากประสบการณ์ของกลุ่มทุนดังกล่าว ยังสามารถดึงพันมิตรจากธุรกิจอสังหาฯเข้ามาเสริมทัพได้อีกด้วย ซึ่งคงต้องมีการหารือเรื่องการวางแผนงานใหม่อีกอีกครั้งหนึ่งว่า จะดำเนินการในทิศทางใด”นายวิรัตน์ กล่าว
นายวิรัตน์ กล่าวต่อไปว่า หากกลุ่มทุนดังกล่าวสนใจที่จะเป็นพันธมิตร บริษัทก็จะยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่ออนุมัติในการเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 400-500 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งอาจมองว่าเป็นมูลค่าที่น้อย ทั้งนี้ เพราะในบริษัทฯยังมีผู้ถือหุ้นบางรายที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์การแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ์ (วอแรนท์)ประมาณ 800 ล้านบาท
“ถ้ากลุ่มนักลงทุนรายแรกไม่ตัดสินใจเป็นพันธมิตร ก็จะต้องหากลุ่มทุนใหม่ ซึ่งขณะนี้ทางที่ปรึกษาด้านการเงินของบริษัทอยู่ในระหว่างการเจรจาอีก 2 ราย โดย 1 รายเป็นกลุ่มทุนจากประเทศแถบเอเชีย ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขเดียวกับที่ได้เสนอให้แก่กลุ่ม SOPHASTINTERCORP ส่วนรายละเอียดต่างๆยังไม่สามารถเปิดเผยได้”นายวิรัตน์ กล่าว
ด้านนายธเนศว์ สิงคาลวณิช กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานครฯ กล่าวว่าสำหรับแผนการพัฒนาโครงการในปีนี้ ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่จะเน้นการพัฒนาโครงการในแนวสูงที่ใกล้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น ล่าสุดมีแผนที่จะนำที่ดินบริเวณซอยโชคชัยร่วมมิตร ฝั่งติดถนนรัชดาภิเษก บนพื้นที่ประมาณ 300 กว่าตารางวา มาพัฒนาคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ภายใต้แบรนด์ “เดอะ คริส” จำนวน 100 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 1.6-1.7 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท
“ปัจจุบันตลาดคอนโดฯในเมืองยังมีความต้องการซื้ออีกมาก ในขณะที่บ้านเดี่ยวยอดขายจะชะลอตัวลง ดังนั้นการพัฒนาคอนโดฯในเมืองจะไปได้ดีในอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะระดับราคาที่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่โครงการของบริษัท จะไม่เล่นในตลาดระดับดังกล่าว โดยราคาเฉลี่ยของโครงการแบรนด์ เดอะ คริส จะอยู่ที่ระดับราคา 2.5 ล้านบาทขึ้นไป”นายธเนศว์ กล่าว
ส่วนความคืบหน้าโครงการ “เดอะ คริส”รัชดาภิเษก ซอย 17 ขณะนี้ได้ปิดการขายในอาคารที่ 1-2 ไปแล้ว และอยู่ในระหว่างการเปิดการในอาคารที่ 3 ที่มียอดขายประมาณ 60% และอาคารที่ 4 มียอดขายประมาณ 10% ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวสามารถพัฒนาได้ถึง 7 อาคาร
สำหรับโครงการแนวราบ บริษัทก็ยังมีการพัฒนาต่อเนื่องแต่เป็นการพัฒนาในเฟสต่อเนื่อง มากกว่าการพัฒนาในที่ดินแปลงใหม่ เนื่องจากแต่ละโครงการที่พัฒนาอยู่ในปัจจุบันนี้ ล้วนมีพื้นที่ที่มากกว่า 1,000 ไร่ ประกอบกับเห็นว่าปัจจุบันโครงการประเภทแนวราบจะมีคู่แข่งมากและไม่จำกัด ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งเลี่ยงการขออนุญาตจัดสรร และไม่ค่อยมีระบบสาธารณูปโภคในโครงการ เป็นต้น
โดยในส่วนโครงการที่บริษัทได้มีการพัฒนาตามแผนงานเดิม แต่ได้มีการปรับขนาดพื้นที่และราคาขายลง จากเดิมที่ราคาขายเริ่มต้นที่ 5-20 ล้านบาท เป็นขนาดพื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ย3-8 ล้านบาท ได้แก่ กฤษดานคร วงแหวน-อ่อนนุช โซน The Pride ตั้งอยู่บนพื้นที่ 80 ไร่ ซึ่งมี 2 ส่วนคือ การ์เด้นโซน และเลค โซน เป็นบ้านเดี่ยว รวมกว่า 100 ยูนิต และกฤษดา แกรนด์ เลค ปิ่นเกล้า-พระราม5 เป็นการพัฒนาในเฟสที่ 3 บนพื้นที่ 15 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 40 ยูนิต และเฟส4 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน30 ยูนิต
“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 ยังค่อนข้างทรงตัว คาดว่าในไตรมาส 4 จะเริ่มดีขึ้น และในปี 51 เชื่อว่าภาพรวมของธุรกิจน่าจะฟื้นตัวมากขึ้น เพราะจะมีการเลือกตั้งใหม่และได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ เมื่อถึงขณะนั้นทุกอย่างคงสงบลง และเรียกความเชื่อมั่นของคนไทยและชาวต่างประเทศกลับมาได้”นายธเนศว์ กล่าว
สำหรับในปีนี้บริษัทได้ปรับลดเป้ายอดขายลงจาก 2,400 ล้านบาท เป็น 1,600-1,800 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบประมาณ 700 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากโครงการคอนโดมิเนียม
|