Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน2 กรกฎาคม 2550
KMCเล็งก๊อก2ดึงทุนใหม่หาก20ก.ค.วืดSOPHAST             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน)

   
search resources

กฤษดามหานคร, บมจ.
Real Estate




นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสและกรรมการ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 1,500 ล้านหุ้น ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 1 บาท และได้มีนักลงทุน กลุ่ม SOPHAST INTERCORP สนใจที่จะซื้อหุ้นดังกล่าว โดยเท่าที่ได้มีการเจรจาในเบื้องต้น คาดว่ากลุ่มทุนดังกล่าวน่าจะตัดสินใจซื้อหุ้นเพื่อมาร่วมทุนกับKMC และคาดว่าผลการเจรจาน่าจะจบลงในวันที่ 20 ก.ค.50 นี้ ตามเงื่อนไขที่ได้เจรจากันไว้ คือ ทางกลุ่มทุนดังกล่าวจะต้องใส่เม็ดเงินจำนวน 3,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น จำนวนเงิน 2,000 ล้านบาท นำไปใช้ในการเคลียร์หนี้จากการปรับโครงสร้างหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ซึ่งรวมเงินต้นและดอกเบี้ยด้วย ส่วนที่เหลืออีก 1,000 ล้านบาท จะนำไปใช้ในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ และการออกหุ้นกู้ประมาณ 400-500 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไข

“ หากกลุ่ม SOPHASTINTERCORP ยอมที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตร ก็จะทำเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 60% ทำให้ภาพด้านลบของ KMCหายไป และยังทำให้KMC แข็งแกร่งได้เร็วกว่าเดิม และเชื่อว่ากลุ่มทุนดังกล่าว ยังช่วยดันลูกค้าต่างประเทศเข้ามามากขึ้น และจากประสบการณ์ของกลุ่มทุนดังกล่าว ยังสามารถดึงพันมิตรจากธุรกิจอสังหาฯเข้ามาเสริมทัพได้อีกด้วย ซึ่งคงต้องมีการหารือเรื่องการวางแผนงานใหม่อีกอีกครั้งหนึ่งว่า จะดำเนินการในทิศทางใด”นายวิรัตน์ กล่าว

นายวิรัตน์ กล่าวต่อไปว่า หากกลุ่มทุนดังกล่าวสนใจที่จะเป็นพันธมิตร บริษัทก็จะยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่ออนุมัติในการเสนอขายหุ้นกู้จำนวน 400-500 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งอาจมองว่าเป็นมูลค่าที่น้อย ทั้งนี้ เพราะในบริษัทฯยังมีผู้ถือหุ้นบางรายที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์การแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ์ (วอแรนท์)ประมาณ 800 ล้านบาท

“ถ้ากลุ่มนักลงทุนรายแรกไม่ตัดสินใจเป็นพันธมิตร ก็จะต้องหากลุ่มทุนใหม่ ซึ่งขณะนี้ทางที่ปรึกษาด้านการเงินของบริษัทอยู่ในระหว่างการเจรจาอีก 2 ราย โดย 1 รายเป็นกลุ่มทุนจากประเทศแถบเอเชีย ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขเดียวกับที่ได้เสนอให้แก่กลุ่ม SOPHASTINTERCORP ส่วนรายละเอียดต่างๆยังไม่สามารถเปิดเผยได้”นายวิรัตน์ กล่าว

ด้านนายธเนศว์ สิงคาลวณิช กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานครฯ กล่าวว่าสำหรับแผนการพัฒนาโครงการในปีนี้ ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่จะเน้นการพัฒนาโครงการในแนวสูงที่ใกล้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น ล่าสุดมีแผนที่จะนำที่ดินบริเวณซอยโชคชัยร่วมมิตร ฝั่งติดถนนรัชดาภิเษก บนพื้นที่ประมาณ 300 กว่าตารางวา มาพัฒนาคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ภายใต้แบรนด์ “เดอะ คริส” จำนวน 100 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 1.6-1.7 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท

“ปัจจุบันตลาดคอนโดฯในเมืองยังมีความต้องการซื้ออีกมาก ในขณะที่บ้านเดี่ยวยอดขายจะชะลอตัวลง ดังนั้นการพัฒนาคอนโดฯในเมืองจะไปได้ดีในอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะระดับราคาที่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่โครงการของบริษัท จะไม่เล่นในตลาดระดับดังกล่าว โดยราคาเฉลี่ยของโครงการแบรนด์ เดอะ คริส จะอยู่ที่ระดับราคา 2.5 ล้านบาทขึ้นไป”นายธเนศว์ กล่าว

ส่วนความคืบหน้าโครงการ “เดอะ คริส”รัชดาภิเษก ซอย 17 ขณะนี้ได้ปิดการขายในอาคารที่ 1-2 ไปแล้ว และอยู่ในระหว่างการเปิดการในอาคารที่ 3 ที่มียอดขายประมาณ 60% และอาคารที่ 4 มียอดขายประมาณ 10% ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวสามารถพัฒนาได้ถึง 7 อาคาร

สำหรับโครงการแนวราบ บริษัทก็ยังมีการพัฒนาต่อเนื่องแต่เป็นการพัฒนาในเฟสต่อเนื่อง มากกว่าการพัฒนาในที่ดินแปลงใหม่ เนื่องจากแต่ละโครงการที่พัฒนาอยู่ในปัจจุบันนี้ ล้วนมีพื้นที่ที่มากกว่า 1,000 ไร่ ประกอบกับเห็นว่าปัจจุบันโครงการประเภทแนวราบจะมีคู่แข่งมากและไม่จำกัด ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งเลี่ยงการขออนุญาตจัดสรร และไม่ค่อยมีระบบสาธารณูปโภคในโครงการ เป็นต้น

โดยในส่วนโครงการที่บริษัทได้มีการพัฒนาตามแผนงานเดิม แต่ได้มีการปรับขนาดพื้นที่และราคาขายลง จากเดิมที่ราคาขายเริ่มต้นที่ 5-20 ล้านบาท เป็นขนาดพื้นที่ใช้สอย 140 ตารางเมตร ราคาเฉลี่ย3-8 ล้านบาท ได้แก่ กฤษดานคร วงแหวน-อ่อนนุช โซน The Pride ตั้งอยู่บนพื้นที่ 80 ไร่ ซึ่งมี 2 ส่วนคือ การ์เด้นโซน และเลค โซน เป็นบ้านเดี่ยว รวมกว่า 100 ยูนิต และกฤษดา แกรนด์ เลค ปิ่นเกล้า-พระราม5 เป็นการพัฒนาในเฟสที่ 3 บนพื้นที่ 15 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 40 ยูนิต และเฟส4 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 20 ไร่ เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน30 ยูนิต

“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 ยังค่อนข้างทรงตัว คาดว่าในไตรมาส 4 จะเริ่มดีขึ้น และในปี 51 เชื่อว่าภาพรวมของธุรกิจน่าจะฟื้นตัวมากขึ้น เพราะจะมีการเลือกตั้งใหม่และได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ เมื่อถึงขณะนั้นทุกอย่างคงสงบลง และเรียกความเชื่อมั่นของคนไทยและชาวต่างประเทศกลับมาได้”นายธเนศว์ กล่าว

สำหรับในปีนี้บริษัทได้ปรับลดเป้ายอดขายลงจาก 2,400 ล้านบาท เป็น 1,600-1,800 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบประมาณ 700 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากโครงการคอนโดมิเนียม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us