Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2550








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2550
David Bain กับคดีฆาตกรรมที่ไม่มีคำตอบ             
โดย ชาคริต เทียบเธียรรัตน์
 





เวลาที่พูดถึงยอดนักสืบในดวงใจ ผมเชื่อว่าผู้อ่านทุกท่านคงตอบได้ทันที ถ้าผู้ตอบเป็นรุ่นใหญ่คงชื่นชอบโฮล์มและวัตสัน ของอาเธอร์ ดอยช์ หรือไม่ก็ปัวโรต์ของอกาธา คริสตี้ ถ้าท่านชื่นชอบนักสืบตำรวจมาดผู้ดี ก็ต้องอัลเลนของไนโอ มาร์ช นักเขียนชาวกีวี หรือแดลกลิชของพีดี เจมส์ ส่วนถ้าชอบนักสืบยุคใหม่สรุปคดีรวดเร็วทันใจใน 24 ชั่วโมง ต้องยกให้แลงดอนของแดน บราวน์ ถ้าเป็นรุ่นคุณหนูที่ชอบการ์ตูนก็คงต้องนักสืบจิ๋วโคนันของอาโอยาม่า โกโช แต่ถ้าเวลามีคนถามถึงทนายในดวงใจ น่ากลัวว่าคงหาคนตอบคำถามนี้ได้ยาก เพราะว่าแม้แต่ จอห์น กริสแฮม ยอดนักเขียนนิยายทนายของโลกที่มีผลงานดังคับฟ้าอย่าง Runaway Jury, Pelican Brief, The Firm, The Rain-maker ยังไม่กล้าใช้พระเอกคนเดียวกันเลย

ในความเป็นจริงแล้วคดีต่างๆ ที่เกิด ขึ้นในเมืองฝรั่งที่ใช้ระบบ Common Law นั้น นักสืบไม่สามารถที่จะสรุปได้อย่างรวดเร็ว และผู้ร้ายก็มักจะไม่สารภาพแบบในนิยาย แต่ผู้ที่หาความจริงของคดีกลับเป็นทนาย ความ เพราะในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอย่าง อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ จะใช้การศาลที่เรียกว่า Adversarial System ซึ่งในระบบนี้ผู้พิพากษาหรืออัยการจะไม่ไปสืบให้มากความนัก แต่จะนำเอารูปคดีของโจทก์มาพิจารณา ถ้าพบว่าผิดก็จะสั่งฟ้องเลย แต่การดำเนินคดีนั้นจะค่อนข้างยาวนานเพราะต้องไปสืบพยานกันในชั้นศาลแทบทุกปาก จุดเด่นของระบบคือการเชิญประชาชนเดินดินอย่างเราๆ ท่านๆ มาเป็นลูกขุนเพื่อร่วมฟังและตัดสินคดี ดังนั้นทนายจะต้องเป็นนักว่าความชั้นยอดและนักสืบชั้นเยี่ยมไปในตัว และถ้าทนายของฝ่ายใดหาหลักฐานและ พูดโน้มน้าวลูกขุนเก่งก็จะมีโอกาสดีกว่าฝ่ายตรงข้าม อย่างที่เราเห็นกันตามภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง

ปัจจุบันในประเทศนิวซีแลนด์มีคดีฆาตกรรมซึ่งมีหลักฐานเป็นสองทางและยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ชื่อว่าคดีเดวิด เบน โดยฝ่ายนักสืบและตำรวจยืนยันว่าเบนเป็นฆาตกร ส่วนทนายความชี้ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ คดีนี้ได้สู้กันถึงขั้นฎีกาซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในเมืองกีวี ประชาชนเองก็มีความ เห็นแตกเป็นสองกลุ่มทั้งเชียร์ตำรวจ หรือไม่ ก็สนับสนุนเดวิด โดยส่วนตัวผมเชื่อแต่ว่าถ้าเอาคดีนี้ไปแต่งเป็นนิยายทนายผสมกับสืบสวนสอบสวน คงจะเป็นหนังสือขายดีเล่มหนึ่งได้ไม่ยาก

คดีนี้เริ่มตอนเวลา 7.09 น. ของเช้าวันที่ 20 มิถุนายน 1994 ตำรวจได้รับแจ้งเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่บ้านเลขที่ 65 ถนน เอเวอรี่ เขตแอนเดอสันเบย์ ซึ่งเป็นย่านอุตสาหกรรมทางตะวันออกเฉียงใต้ของนครดันเนดิน นักสืบเวียร์และผู้ช่วยแอนเดอสันจากกรมตำรวจ ได้รีบรุดไปที่เกิดเหตุทันทีพบนายเดวิด เบน นักศึกษาคณะดุริยางค์ ศิลป์ของมหาวิทยาลัยโอทาโก้วัย 22 ปี ซึ่งเป็นผู้แจ้งความตกอยู่ในสภาพเสียขวัญ ในบ้านหลังดังกล่าวมีผู้ตายอยู่ 5 ศพ คือศพในห้องโถงหน้าแท่นบูชาพร้อมปืนยาวหนึ่งกระบอกคือ นายโรบิน เบน วัย 58 ปี หมอสอนศาสนาและครูใหญ่ของโรงเรียนย่านนั้น ในห้องนอนอีกสี่ห้องทุกๆ ห้องจะพบผู้เสียชีวิตคือ นางมากาเร็ต ภรรยา วัย 50 ปี ลูกสาวสองคนคือ อราวา วัย 19 ปี ลาเนียต วัย 18 ปี และลูกชายคนเล็ก สตีเฟ่น วัย 14 ปี ส่วนสลักที่ปลดล็อกปืนยาว และกระสุนปืนตกอยู่บนพื้นห้องนอนที่ 5 ซึ่งเป็นห้องของเดวิด กุญแจเปิดตู้เก็บปืนสองดอกนั้น ดอกแรกไปอยู่ในเสื้อกันฝนของโรบินที่แขวนอยู่ในรถคาราวานที่จอดอยู่นอกบ้านและดอกสำรองอยู่ในโถบนโต๊ะของเดวิด คอมพิวเตอร์ในห้องทำงานเปิดอยู่และบนหน้าจอมีข้อความว่า "เธอเท่านั้นที่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อไป"

เวียร์ได้ลงมือสอบสวนที่เกิดเหตุทันทีและพบเลนส์แว่นตาด้านซ้ายตกอยู่ที่ห้องของสตีเฟ่น ซึ่งวัดจากความสั้นของสายตาแล้วเท่ากับของเดวิดพอดี ขณะที่เสื้อผ้าของเดวิดมีรอยเปื้อนแต่อยู่ในเครื่องซักผ้า แล้ว แต่บนพื้นทางเดินจากห้องของนางมากาเร็ตถึงห้องของลาเนียต มีรอยเท้าที่มาจากเลือดขนาดที่วัดได้คือ 280 มิลลิเมตร ลายนิ้วมือบนกุญแจดอกสำรองสำหรับเปิดตู้เก็บปืนเป็นของเดวิดอย่างไม่ต้องสงสัย แอนเดอสันเชิญผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย โอทาโก้ มาตรวจระยะเวลาที่คอมพิวเตอร์ถูกเปิดเครื่องและเวลาที่มีการบันทึกข้อความ โดยอาศัยเวลาบนนาฬิกาของแอนเดอสันเอง ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเวลาที่เครื่องถูกเปิดคือ 6.44 น. จากคำให้การของนายเดวิดเองเขาคาดว่าตนเองกลับมาถึงบ้านในเวลา 6.40 น. หลังจากออกไปส่งหนังสือพิมพ์ตามปกติของทุกเช้า

นอกจากนี้บนปืนยาวที่ตกอยู่ข้างตัวของโรบินมีรอยนิ้วมือของทั้งโรบินและเดวิดอยู่รวมทั้งรอยเลือดที่ติดอยู่ที่ด้ามและพานท้ายของปืน นอกจากนี้เวียร์ยังพบว่าเดวิดนั้นเคยมีความเครียดสูงจนต้องหยุดพักการเรียนที่โอทาโก้ นอกจากนี้เดวิดยังมีงานอดิเรกคือการยิงนกเป็ดน้ำและกระต่ายป่า และในคืนที่เกิดเหตุโรบินได้ไปนอนที่รถคาราวานนอกบ้านก่อนที่จะกลับเข้ามาในบ้านเพื่อสวดมนต์ตอนเวลา 7 โมงเช้าที่แท่นบูชาในห้องโถง

สี่วันหลังจากรวบรวมหลักฐานครบถ้วน เวียร์และแอนเดอสันก็ชี้มายังเดวิดว่าเป็นฆาตกร จากข้อสรุปดังกล่าวเพียงช่วงข้ามคืนคดีฆาตกรรมบนเอเวอรี่สตรีทก็กลาย เป็นหัวข้อข่าวระดับชาติ เพราะเป็นการฆ่าล้างครอบครัวตนเองอย่างเลือดเย็นที่สุด โดย สองนักสืบสรุปเหตุการณ์ใหม่ว่า เดวิดตื่นเช้า เวลาตี 5 ใช้กุญแจเปิดตู้เก็บปืน เดวิดได้บรรจุกระสุนและปลดล็อกไรเฟิลในความมืด ทำให้มีกระสุนและสลักของปืนตกอยู่ในที่เกิดเหตุ จากนั้นฆาตกรได้เดินเข้าไปยังห้องของนางมากาเร็ตและฆ่านางเสีย แต่เผลอเหยียบเอาเลือดบนพื้นเข้าก่อนที่จะเดินไปห้องของลาเนียตและอราวาทำให้เกิดรอยเลือดบนทางเดิน เสียงปืนทำให้สตีเฟ่นตกใจ ตื่น และเมื่อเดวิดไปถึงห้องสุดท้ายได้ต่อสู้กับน้องชายจนเลนส์ของแว่นด้านซ้ายหลุดจึงฆ่าได้สำเร็จ จากนั้นเดวิดได้เอาเสื้อผ้าไป ใส่ไว้ในเครื่องซักผ้าและออกไปส่งหนังสือ พิมพ์ตามปกติ เวลา 6.40 น. เดวิดกลับมาที่บ้านและเอาเสื้อผ้าที่สวมอยู่เข้าเครื่องซักผ้า และลงมือซักผ้าทั้งหมด จากนั้นขึ้นไปเปิดคอมพิวเตอร์ พิมพ์ข้อความดังกล่าวเวลา 6.44 น. ก่อนลงไปซุ่มที่ห้องโถง ไม่กี่นาที ต่อมาโรบินได้ออกจากห้องนอนในรถคาราวาน และมานั่งสวดมนต์ที่แท่นบูชาตาม ปกติ เดวิดได้สังหารโรบินเวลา 7 นาฬิกา และจัดฉากเสียใหม่และไปอาบน้ำให้หมดคราบเลือดและเขม่าปืนก่อนที่จะโทรแจ้งตำรวจ มูลเหตุของการฆาตกรรมมาจากความเครียดของเดวิดเองรวมทั้งนิสัยที่รุนแรง โดยสังเกตได้จากการชอบยิงสัตว์ ประกอบกับชีวิตในวัยเด็กซึ่งเติบโตที่ประเทศปาปัวนิวกินี ที่โรบินไปสอนศาสนาตามถิ่นทุรกันดาร ซึ่งหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญบางแห่งยังคงวัฒนธรรมการกินมนุษย์อยู่ในเวลานั้น

จากหลักฐานดังกล่าวตำรวจได้ส่งฟ้องศาลอาญาที่นครดันเนดินใน 5 กระทงด้วยกัน การต่อสู้ในศาลเกือบหนึ่งปีนั้น นาย ไมเคิล รีด ทนายความชื่อดังได้หาหลักฐานแย้ง โดยเริ่มจากพยานซึ่งยืนยันว่าเขาขับรถออกจากบ้านเวลา 6.45 น.และเห็นเดวิดแบกถือถุงพลาสติกสีเหลืองที่ใส่หนังสือพิมพ์ เพื่อเอื้อมมือไปเปิดประตูบ้าน จากหลักฐานแรกจะเห็นว่าเวลาที่คอมพิวเตอร์คือ 6.44 น. นั้นเกิดขึ้นก่อนเดวิดเข้าบ้านไป 1 นาที จาก นั้นทนายชื่อดังได้ยื่นหลักฐานที่น่าตกใจคือการที่น้องสาวคนเล็กลาเนียตได้ประกอบอาชีพพิเศษเป็นโสเภณี ซึ่งหลักฐานดังกล่าวยังไม่ร้ายเท่ากับหลักฐานว่าโรบินนั้นก็เป็นนักเที่ยวเช่นกัน

ที่ร้ายกว่านั้นคือเคยทำการ Incest กับลูกสาวตนเอง ทนายรีดได้นำพยานคือเพื่อนสนิทของลาเนียตมาเปิดเผยว่าผู้ตายได้เล่าว่าโรบินนั้นกระทำการ Incest อย่างสม่ำเสมอและได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้กับมารดาของตนเอง พี่สาว และน้องชายฟังในวันเสาร์ที่ 18 หรือก่อนเสียชีวิตเพียง 2 วัน ซึ่งเป็นผลให้โรบินโดนอัปเปหิไปนอนในรถคาราวาน และทนายรีดได้ตบท้ายว่าเลนส์แว่นตาด้านซ้ายที่พบนั้นฝุ่นจับเกรอะกรังและอยู่ใต้กองเสื้อผ้าและหนังสือจึงไม่น่าจะเกิดจากการต่อสู้ นอกจากนี้เดวิดและแม่ของเขามีความสั้นทางสายตาที่ใกล้เคียงกันมาก อย่างไรก็ตาม นักสืบและทนายของรัฐได้เรียกเดวิดซึ่งขวัญเสียมาสืบสวน ซึ่งเดวิดให้การวกไปวนมาจนไม่มีความน่าเชื่อถือ ในที่สุดคณะลูกขุนตัดสินว่า เดวิดผิดจริงและมีโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่รอลงอาญา ในวันที่ 29 พฤษภาคม 1995

ปัญหาคือทนายรีดไม่ยอมหยุดเท่านี้ นอกจากนี้ในบรรดาคนที่เชื่อว่าเดวิดไม่ผิดได้รวมทุนกันสู้คดีโดยมีอดีตนักรักบี้ทีมชาติ ชื่อ โจ คารัม เป็นหัวเรือใหญ่ รีดได้ทำการหาหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อสู้ไปยังศาลอุทธรณ์ซึ่งไม่อนุญาตให้ประกันตัวและยืนคำตัดสินของศาลอาญาโดยดูจากรูปคดีของนักสืบเวียร์ที่ว่าด้วยลายนิ้วมือบนกุญแจสำรองที่เปิดตู้เก็บปืนเป็นของเดวิด ประกอบกับรอยเลือดบนปืนซึ่งมีรอยนิ้วมือของเดวิดประทับอยู่ และรอยเลือดบนกางเกงและถุงมือที่ซักอยู่ของเดวิด อย่างไรก็ตาม รีดไม่ยอมหยุดคดีนี้ที่อุทธรณ์แต่ยื่นไปยังองคมนตรีเพื่อเปิดศาลฎีกาให้ได้

คราวนี้รีดได้หาหลักฐานมาเพิ่มเติมคือ ข้อมูลจากจิตแพทย์ตั้งแต่ที่ปาปัวนิวกินีว่าโรบินมีพฤติกรรมที่รุนแรง นอกจากนี้เขายังชอบตบนักเรียนในโรงเรียน และยังเคยแต่งนิยายฆาตกรรมยกครอบครัวเข้าไปในหนังสือเวียนของทางโรงเรียน จากนั้นรีดได้ย้ำอีกครั้งว่ามูลเหตุของการฆาตกรรมจากนายโรบิน น่าจะมาจากการที่ลาเนียตนำเรื่อง incest ไปเปิดเผยและความกลัวที่จะถูกดำเนินคดี หรือโดนสังคมประจานจึงทำให้โรบินทำการฆ่าปิดปากคนในครอบครัวเสีย หลักฐานต่อมาคือ รอยเลือดบนพื้นนั้นวัดได้ 280 มม. ขณะที่เท้าของเดวิดมีขนาด 300 มม. ขณะที่โรบินเองมีเท้าขนาด 270 กว่าๆ ต่อมาคือเลือดที่มีรอยนิ้วของเดวิดปรากฏอยู่นั้น ถูกเทสต์ว่าไม่ใช่ดีเอ็นเอของมนุษย์ แต่น่าจะมาจากสัตว์ประเภทกระรอกป่าหรือ กระต่ายป่ามากกว่า แต่หลักฐานพิฆาตนักสืบจริงๆ คือ นาฬิกาของแอนเดอสันเอง ผู้อ่านหลายท่านคงจะชินกับภาพของเชอร์ล็อก โฮล์ม คว้านาฬิกามาบอกเวลาในหนังสือแต่หลายคนคงลืมนึกไปว่านาฬิกานั้นมีหลาย แบบ ผลปรากฏว่าแอนเดอสันสวมนาฬิกา แบบโบราณซึ่งไม่มีเข็มวินาที ตัวเลขบนนาฬิกาจะมีทุกๆ 5 นาที คือ 1 ถึง 12 แต่ไม่มีเส้นแบ่งจำนวนนาที ดังนั้น เวลาที่แจ้งจึงไม่สามารถเรียกได้ว่าถูกต้องทุกประการ

นอกจากนี้นาฬิกาแบบเก่านั้นไม่ใช่ควอช จึงสามารถเดินผิดพลาดได้ และเมื่อนำมาตรวจสอบปรากฏว่าเป็นไปตามที่รีดสันนิษฐานคือเดินเร็วไป 2 นาที รีดได้เอาสองนาทีที่ผิดพลาดขึ้นตั้ง ประกอบกับการที่นาฬิกาไม่สามารถบ่งบอกนาทีและวินาทีที่ถูกต้องมาประเมินใหม่จึงพบว่าเวลาที่คอมพิวเตอร์ถูกเปิดต้องลบ 5 นาที กล่าวคือ ข้อความจะต้องถูกพิมพ์เวลา 6.39 แทน 6.44 ซึ่งไม่ว่าเดวิดจะกลับมา 6.40 น. ตามเวลาตำรวจหรือ 6.45 น. ตามเวลาพยาน เดวิดย่อมไม่มีวันไปทำการฆาตกรรมหรือพิมพ์ข้อความมรณะได้ จากหลักฐานใหม่ชนิดตอกโฮล์มหน้าหงายนี้ประกอบกับการที่เดวิดประกาศว่าตนเองบริสุทธิ์มาตลอด ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2007 องคมนตรีได้อนุมัติให้เปิดศาลฎีกาและ อนุญาตให้เดวิดประกันตัวได้ โดยศาลอาญา นครไครส์เชิร์ชเป็นผู้อนุมัติ หลังจากติดคุกมาราวๆ 13 ปี ซึ่งมีประชาชนกว่า 100 คน เดินทางมาแสดงความยินดี

ปัญหาต่อจากนี้คือเมื่อเปิดศาลแล้วอัยการและนักสืบจะกล้าฟ้องหรือไม่ ถ้าไม่ คดีนี้จะหมดอายุความในอีก 16 ปีข้างหน้า ถ้ากล้าฟ้องคดีจะจบอย่างไร ถ้าเบนแพ้ก็คงต้องกลับไปนอนในมุ้งสายบัวอีกรอบ แต่ถ้าเกิดชนะขึ้นมาบรรดานักสืบชื่อดังอาจจะต้อง ไปเป็นจำเลยแทนก็เป็นได้ คดีฆาตกรรมบน เอเวอรี่สตรีทนั้นแท้จริงแล้วใครเป็นฆาตกรนั้นยังไม่สามารถมีคนตอบได้ ส่วนผู้อ่านจะเชื่อฝ่ายไหนก็แล้วแต่วิจารณญาณของท่าน แต่ที่แน่นอนคือชัยชนะของทนายความไมเคิล รีด ซึ่งสยบนักสืบและตำรวจได้สำเร็จในระบบการศาลแบบ Adversarial System   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us