Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กรกฎาคม 2550








 
นิตยสารผู้จัดการ กรกฎาคม 2550
SHAKA London แบรนด์เสื้อไทย กลิ่นอายปลาดิบ             
โดย สุภัทธา สุขชู
 


   
www resources

YM FASHION Homepage

   
search resources

Garment, Textile and Fashion
อิชยา ขะมาลา
YMF International (Thailand)
SHAKA London




กว่าที่แบรนด์เสื้อผ้าไทยสักแบรนด์จะได้ขึ้นห้างหรูเทียบชั้นแบรนด์เนม เรื่องราวเบื้องหลังการปลุกปั้นของดีไซเนอร์แต่ละคนย่อมเป็นบทเรียนที่น่าสนใจ แต่สำหรับแบรนด์ที่ผู้ฟูมฟักไม่ใช่นักออกแบบชื่อดัง เป็นเพียงผู้รักและหลงใหลในแฟชั่นกลิ่นอายญี่ปุ่น เส้นทางเข้าห้างก็คงเป็นคนละสายที่ต้องฝ่าฟันไม่แพ้กัน

SHAKA London!?!

ถ้าคุณไม่ใช่ขาชอป หรือแฟชั่นมาเนียจัดสักหน่อย คุณอาจจะไม่คุ้นเคยว่า นั่นเป็นแบรนด์อะไร แบรนด์นี้สัญชาติใด หรือแม้แต่จะหาชมหาซื้อได้ที่ไหน

จากสำเนียงของชื่อแบรนด์ หลายคนคงเดาว่า เป็นแบรนด์จากแดนปลาดิบ หรือไม่ก็มาจากเมืองผู้ดี

อันที่จริง แบรนด์นี้เป็นแบรนด์สัญชาติไทย ออกแบบโดยดีไซเนอร์ไทย แต่ที่มีกลิ่นอาย ความเป็นญี่ปุ่นอบอวล ก็เพราะประสบการณ์การเรียนรู้ know-how ทางด้านแฟชั่นมาจากบริษัทญี่ปุ่นนานเกือบ 20 ปี ของสาวไทยคนหนึ่งที่ชื่อ อิชยา ขะมาลา

จากนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น ตอนอยู่ปี 3 เธอฝึกภาษาญี่ปุ่นด้วยการเป็นล่ามให้กับบริษัทญี่ปุ่น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอได้รู้จักกับ มร.วาตานาเบ้ เจ้าของบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแท้ที่ชื่อ YM. Fashion ผู้ผลิตแบรนด์ดังอย่าง Yacco Maricard

นอกจากแบรนด์ Yacco Maricard ที่กำลังจะมีอายุเข้าสู่วัย 30 ปี ปัจจุบัน YM. Fashion ยังมีแบรนด์ย่อยในเครือที่สร้างชื่อในยุโรปและญี่ปุ่นอีกถึง 4 แบรนด์

ปีที่อิชยาเรียนจบเป็นช่วงเดียวกับที่ มร.วาตานาเบ้กำลังจะมาตั้งโรงงานผลิตในเมืองไทย เธอจึงทำหน้าที่เป็นล่ามและประสานงานให้เขากับพาร์ตเนอร์ชาวจีนและชาวเยอรมัน แต่เมื่อสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง มร.วาตานาเบ้จึงเอ่ยปากชวนอิชยามาเป็นพาร์ตเนอร์แทน

"ปกติเป็นคนชอบเรื่องเสื้อผ้าอยู่แล้ว พอมาทำงานให้กับเขา เราก็เริ่มหลงรักแบรนด์นี้ไปเรื่อยๆ เพราะเป็นแบรนด์ที่มีความแปลก เป็นตัวของตัวเอง และเป็น garment-dye ที่ประณีตมีเอกลักษณ์มาก"


จากนักศึกษาศิลปศาสตร์ เอกภาษาญี่ปุ่น กลายมาเป็นพาร์ตเนอร์ในโรงงานผลิตเสื้อผ้า และรั้งตำแหน่ง M.D. ในบริษัท YMF International (Thailand) กลายเป็นจุดเปลี่ยนแรกในชีวิตของเธอ

หลังจากตั้งโรงงาน มร.วาตานาเบ้ในฐานะที่ควบตำแหน่งดีไซเนอร์แห่งแบรนด์ Yacco Maricard ก็บินตรงจากญี่ปุ่นเพื่อมาฝึกสอนเทคนิคการเย็บด้วยตัวเอง

"ถือเป็นงานฝีมือที่ยาก งานตีเกล็ดของเขาสวย เขาเย็บเรียบร้อย เพราะเขาเย็บเข้าถ้ำแทนที่จะโพ้งอย่างเดียว สีของเขา ก็ไม่ใช่แม่สีตรงๆ เขาทดลองวิจัยหาสีสวยแปลกตา ฯลฯ แม้เสื้อจะดูตัวใหญ่ตามสไตล์ loose-fit แต่ก็ออกมาสวยมาก ตอนนั้น เราก็ตื่นเต้นกันใหญ่ที่ได้เรียนรู้ know-how จากเขา"

ช่วง 10 ปีแรก YMF International ทำหน้าที่ตั้งแต่สรรหาผ้าและวัตถุดิบ ตัดเย็บ แล้วจึงส่งไปย้อมและฟินิช (finish) ที่ญี่ปุ่น แต่เมื่อ 7 ปีหลังที่มีการลงทุนสร้างโรงย้อมขึ้นในประเทศ ไทย อิชยาจึงมีโอกาสได้เรียนรู้เทคนิคการย้อม อันเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของแบรนด์ Yacco Maricard ด้วย

นอกจากสีย้อมที่สวยไม่เหมือนใคร เอกลักษณ์ของ Yacco Maricard ยังอยู่ที่ความประณีตในงานตีเกล็ด งานคัตติ้ง เสื้อผ้า สไตล์ Loose-fit ที่ดูเหมือนตัวใหญ่แต่พอใส่แล้วกลับดูดี ถึงขนาด ที่สุภาพิมพ์ ธนะพรพันธุ์ มงเซล ผู้คลุกคลีอยู่ในเมืองแฟชั่นอย่าง ปารีส ยังเคยแนะนำแฟนนักอ่านให้ไปลองหามาใส่

"แบรนด์นี้จะมีเกล็ดเยอะและสวยเรียบ ก็เคยมีคนมายืนดูยืนนับเกล็ดเลย เพื่อเอาไปก๊อบปี้" อิชยาเล่า

แบรนด์ Yacco Maricard ยังได้รับการยอมรับจากราชวงศ์ชั้นสูงและชาวเมืองผู้ดีอย่างมาก เห็นได้ชัดเจนจากการเปิดร้านอยู่บนถนน Kensington ทางไปเมือง Nothing Hill ย่านไฮโซของลอนดอน

รับจ้างเป็น OEM อยู่นานกว่า 10 ปี อิชยาเริ่มรู้จักและเข้าใจวิสัยของกลุ่มลูกค้าของแบรนด์ Yacco Maricard มากขึ้น เธอจึงคุยกับพาร์ตเนอร์ในการเป็นผู้นำแบรนด์นี้เข้ามาจำหน่ายใน เมืองไทย เป็นเหตุให้เธอต้องเข้าไปติดต่อกับห้างหรู โดยเฉพาะเซ็นทรัล ชิดลม เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน เอ็มโพเรี่ยม ฯลฯ

"อาจจะโชคดีที่เราเป็นแบรนด์ญี่ปุ่นก็เข้าง่ายขึ้น แล้ว 7 ปีก่อน ห้างหรูก็ยังไม่ค่อยมีแบรนด์แฟชั่นฝั่งตะวันออกมาก แต่สิ่งที่ยากหลังจากนั้นก็คือ ทำอย่างไรให้ลูกค้ายอมรับ เพราะหลายคนจะบอกเสื้อตัวใหญ่ ญี่ปุ่นจ๋า ดูเหมือนจะใส่ยาก เราก็ต้องสื่อสารกับลูกค้ามากกว่าแบรนด์เนมจากฝั่งตะวันตก"

หลังจากทำการตลาดแบรนด์ Yacco Maricard ในเมืองไทยเองเพียงแค่ 1 ปี อิชยาเริ่มคิดถึงการมีแบรนด์เป็นของตัวเอง อันเป็นที่มาของแบรนด์ SHAKA London โดยร่วมกับลูกสาวของ มร.วาตานาเบ้ ซึ่งจบการศึกษาปริญญาตรีด้านแฟชั่น ดีไซน์จาก St.Martin และปริญญาโทจาก Royal College of Art จากกรุงลอนดอน อันเป็นที่มาของชื่อส่วนหลัง

อาจเรียกได้ว่า SHAKA London เป็นผลผลิตจากการต่อยอด know-how ที่อิชยาได้เรียนรู้และสั่งสมมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จนวิชาสุกงอม ทั้งเทคนิคการตัดเย็บ การผลิตงานฝีมือ ปรัชญาและหลักคิดในการคาแรกเตอร์และแบรนด์ ตลอดจนการทำตลาดที่สายสัมพันธ์กับเหล่าห้างหรู กลายเป็นใบเบิกทางอย่างดีสำหรับแบรนด์ของเธอเอง ฯลฯ

ขณะเดียวกันการผลิตเสื้อผ้าและจำหน่ายให้กับแบรนด์ญี่ปุ่นอินเตอร์ฯ อย่าง Yacco Maricard ยังเป็นแบ็กอัพที่ดี เพราะหลายครั้งที่ดีไซเนอร์ของแบรนด์น้องใหม่ก็ได้รับแรงบันดาลใจดีๆ มาจากความประณีตในงานเสื้อผ้าของ "แบรนด์แม่"

จึงไม่น่าแปลกที่แบรนด์ SHAKA London จะมีกลิ่นอายของญี่ปุ่นอบอวล

"หลายแบรนด์ที่มีลูกค้าเป้าหมายกลุ่มเดียวกันกับเรา แต่เราพยายามฉีกไปตรงที่เรามี original มาจากญี่ปุ่น แต่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ไทย และการผลิตของเราก็เป็นงานประณีต เพราะใช้โรงงานผลิตเดียวกับแบรนด์ Yacco Maricard" อิชยาพูดถึงจุดเด่นที่ต่างจากแบรนด์ไทยอื่นอย่างชัดเจน

แม้กระทั่งกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ SHAKA London ก็ยังมีบุคลิกไม่ต่าง จากแบรนด์แม่ กล่าวคือเป็นตัวของตัวเอง มั่นใจในตัวเอง และอยากแสดงตัวตนผ่านแฟชั่น โดยไม่ตามเทรนด์ สิ่งที่ต่างกันก็แค่อายุ

"ลูกค้าของ SHAKA London จะมีอายุราว 18-30 ปี ส่วนลูกค้า Yacco Maricard ก็อายุ 30 ปีขึ้นไป เรียกว่าเป็นแม่ลูกกันได้ เพราะชอบอะไรคล้ายกันพอ "ลูก" โตขึ้น หรืออยากดูภูมิฐานก็เปลี่ยนมาใส่ "แบรนด์แม่" ได้" อิชยากล่าว พร้อมเสียงหัวเราะ

ปัจจุบันแบรนด์ Yacco Maricard มีสาขาในประเทศไทยทั้งสิ้น 6 สาขาคือ หลังสวน เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัล ชิดลม เซ็นทรัล ลาดพร้าว เซ็นทรัล ภูเก็ต เฟสติวัล และเอ็มโพเรี่ยม

ขณะที่แบรนด์ SHAKA London มีอยู่ 4 สาขาที่หลังสวน เซ็นทรัล ชิดลม เซน และสยามพารากอน

"การเข้าห้างของ "แบรนด์ลูก" ไม่ยาก เพราะ buyer ของห้างรู้จัก "แบรนด์แม่" อยู่แล้ว ก็เหมือนแม่ช่วยปูทางให้ลูกแล้ว แต่จะอยู่ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวของแบรนด์ลูกเอง"

ผ่านมา 6 ปีของ SHAKA London แม้ช่วงแรกจะถูกมองว่า เป็นแบรนด์ไทยที่มีกลิ่นปลาดิบจ๋ามากไปหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้บริโภคเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นและต้องการ แสดงตัวตนที่ไม่เหมือนใคร แบรนด์ไทยสไตล์ญี่ปุ่นอินเตอร์จึงเป็นอีกทางเลือกที่โดนใจคนรุ่นใหม่ได้ไม่ยาก


จาก OEM จนมาเป็น ODM และมีแบรนด์เป็นของตัวเอง อิชยายอมรับว่า คงมีวันนี้ไม่ได้ ถ้าวันนั้นเธอไม่ได้ตกลงรับจ้างผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ Yacco Maricard และคิดที่จะจัดจำหน่าย แบรนด์ในประเทศไทยเอง เพราะทั้งหมดนี้ถือเป็น know-how ที่เป็นฐานรากให้แก่แบรนด์ของเธอเอง

"การที่เราชอบเสื้อผ้าอย่างเดียว แต่ไม่มีความรู้ด้านดีไซน์หรือแฟชั่น แล้วอยู่ดีๆ จะมา ทำแบรนด์เองคงเป็นไปไม่ได้ หรือทำได้ก็ไม่ดี เพราะแบรนด์คงไม่แน่นพอที่จะยืนหยัดในตลาด ได้นาน" อิชยาสรุป   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us