|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
นักลงทุนสถาบันไทยขายหุ้นทำกำไร หลังดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกว่า 50 จุด บวกกับได้รับผลต่อเนื่องจากการลดลงของตลาดหุ้นในภูมิภาค เหตุกังวลจีนขึ้นอัตราดอกเบี้ยชะลอความร้อนแรงเศรษฐกิจ-รอความชัดเจนประชุมเฟด ผสมโรงปัจจัยในประเทศที่ยังเจอกระแสข่าว กกต.ถอดใจลาออกและเลื่อนการเลือกตั้ง กดดัชนีหุ้นไทยร่วงเกือบ 8 จุด คิดเป็น 1.03% ด้านโบรกฯ แนะถือเงินสด รอทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศและการเมืองไทย
ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทย วานนี้ (25 มิ.ย.) ดัชนีผันผวนตลอดทั้งวัน ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 764.12 จุด ปรับตัวดลลง 7.93 จุด หรือลดลง 1.03% ระหว่างวันปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 774 จุด ต่ำสุด 764.12 จุด มูลค่าการซื้อขาย 13,822.92 ล้านบาท โดยมีนักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 870.89 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 262.30 จุด นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 608.59 จุด
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ UOBKH กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศจากที่มีแรงขายทำกำไรที่มีเข้ามาจำนวนมาก เพราะนักลงทุนรอความชัดเจนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะมีการประชุมในปลายสัปดาห์ และนักลงทุนกังวลว่ารัฐบาลจีนจะมีการออกมาตรการป้องกันการเก็งกำไร จากที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง
ขณะที่นักลงทุนไทยเองได้มีการขายหุ้นทำกำไรระยะสั้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นนักลงทุนสถาบันในประเทศ หลังจากจากสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น บวกกับปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง รวมถึงกระแสข่าวการลาออกของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลว่าอาจจะมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป แม้จะมีการออกมาปฏิเสธแล้วก็ตาม
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ (26 มิ.ย.) คาดดัชนีตลาดหุ้นจะมีความผันผวนแกว่งตัวในกรอบแคบๆ ซึ่งอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หากตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการฟื้นตัว ขณะที่นักลงทุนต่างนั้นคาดว่าจะยังคงซื้อต่อเนื่อง จากเป็นช่วงใกล้ปิดไตรมาส 2/50 ทำให้นักลงทุนมีการซื้อหุ้นพื้นฐานไว้ แต่หากมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติก็คงรไม่มากนัก โดยประเมินแนวรับที่ระดับ760-762 จุด แนวต้านที่ระดับ 770-772 จุด
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI กล่าวว่า ดัชนีมีการปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาค จากตลาดหุ้นจีนที่ไม่สามารถยืนเหนือ 4 พันจุดได้ เนื่องจากกังวลว่ารัฐบาลจีนจะมีการออกมาตรการเพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ ด้วยการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั้งภูมิภาค หากเศรษฐกิจมีการเติบโตลดลงก็จะกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งมองว่าตลาดหุ้นยุโรป และสหรัฐฯ จะมีการปรับตัวลดลงเช่นกัน
ประกอบกับตลาดหุ้นไทยยังมีแรงขายออกมา เพราะตลาดหุ้นไทยได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 50 จุด จาก 726 จุด ในกลางเดือนมิถุนายนถึง เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ดัชนีอยู่ที่ 772 จุด จึงมีการขายทำกำไรออกมา ขณะที่ปัจจัยทางการเมืองยังคงกดดันตลาดหุ้นไทย มีผลทำให้ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค ซึ่งหากจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าภูมิภาค
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ต้องติดตามตลาดหุ้นจีนเป็นหลัก หากตลาดหุ้นจีนมีสามารยืนเหนือ 4 พันจุด ได้จะทำให้ตลาดหุ้นภูมิภาคปรับตัวลดลง และนักลงทุนยังคงขายทำกำไร โดยบริษัทแนะนำการลงทุนในช่วงนี้ให้ขายทำกำไรออกมก่อน ซึ่งหากจะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นควรรอให้เฟดมีการประกาศผลออกมาก่อน โดยให้ แนวรับ 750-755 จุด แนวต้นที่ระดับ 770-775 จุด
นายแสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีการปรับตัวลดลงแรง จากที่มีกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) 2 กองทุนได้มีการลงทุนในตราสารหนี้และมีผลขาดทุน จึงเป็นผลด้านจิตวิทยา ทำให้เม็ดเงินต่างประเทศมีการไหลออกไป เช่นเดียวกับช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาที่มีกองทุนเฮจฟันด์ของยูบีเอส ได้มีการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้จึงทำให้มีเม็ดเงินไหลออก แต่เม็ดเงินที่ไหลออกก็จะไม่มาก ทำให้ 1-2 วันนี้ ตลาดหุ้นไทยอาจจะมีกาปรับฐานลดลง โดยมองแนวรับที่ระดับ 755 จุด แนวต้นที่ระดับ 760 จุด
นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บล. ซิกโก้ กล่าวว่า การปรับตัวครั้งนี้เกิดมาจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ โดยในส่วนของปัจจัยภายนอกประเทศนั้น เป็นผลต่อเนื่องมาจากเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนที่ดัชนีดาวน์โจนของสหรัฐปรับตัวลดลง เพราะความกังวลจากปัญหาเรื่องการปล่อยกู้สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ทำให้วานนี้ตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคเอเชียได้รับผลกระทบจากปรับตัวลดลงด้วย
ส่วนปัจจัยในประเทศนั้น เกิดมาจากข่าวที่ออกมาว่าในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะไม่มีการพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยลงอีก ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่อ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ย เช่น กลุ่มธนาคารพาณิชย์และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ปรับตัวลดลง
“ตอนนี้ตลาดยังต้องการปัจจัยเรื่องดอกเบี้ยเข้ามาหนุนในช่วงครึ่งปีหลัง แต่พอข่าวออกมาว่าอาจจะไม่มีการปรับลงอีก ดัชนีที่ขึ้นรับข่าวดังกล่าวที่ผ่านมาก็มีการปรับตัวลดลงมา นอกจากนี้ข่าวดังกล่าวยังเร่งการปรับฐานเร็วขึ้น จากที่เคยคาดว่าอาจจะเกิดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์มาเป็นช่วงต้นสัปดาห์แทน แต่อย่างไรก็ตามยังมีความหวังว่าตลาดอาจจะมีการรีบาวนด์ตามตลาดต่างประเทศได้ เพราะตอนนี้ตลาดต่างประเทศดัชนีลงไปค่อนข้างลึก” นายเกียรติก้อง กล่าวว่า
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า วานนี้ดัชนีลดลงตามตลาดต่างประเทศในภูมิภาค ซึ่งปรับตัวลดลงตามความกังวลเรื่องตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ทำให้มีแนวโน้มว่ารัฐบาลจีนอาจจะต้องมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ประกอบกับความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังมีแนวโน้มไม่ดี ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นที่ลดน้อยลง
“ระยะสั้นสถานการณ์การลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศ อาจจะจะกลายเป็นการลงทุนในลักษณะเก็งกำไรระยะสั้นมากขึ้น โดยมีแนวรับที่ 750-757 จุด และมีแนวต้านที่ 770 จุด” นางสาวสุภากรกล่าว
ส่วนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด จะมีการประชุมในช่วงปลายสัปดาห์นี้นั้น คาดว่าที่ประชุมน่าจะไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น แต่ถ้าเกิดมีการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นจริง จะกลายเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้นักลงทุนต่างประเทศจะเทขายทำกำไรออกมาจำนวนมากอย่างแน่นอน
|
|
 |
|
|