เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2520 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชนิพนธ์คำขวัญ
เพื่ออันเชิญลงพิมพ์ในหนังสืออนุสรณ์ ของสภาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง ความว่า
"เกียรติประวัติมิใช่อดิตที่น่าชื่นชมสำหรับจะนำมา ซึ่งความภาคภูมิใจกันเท่านนั้น
แท้จริงยังเป็นรากฐานหลักประกันอันมั่นคงที่สุด สำหรับก่อตั้งสร้างเสริมอันความเจริญงอกงามอันไม่มีที่สิ้นสุดต่อไปในอนาคตด้วย"
พระราชนิพนธ์ข้างต้นนี้คงทำให้เราเห็นแนวคิด เกี่ยวเรื่องอนุรักษ์โบราณสถานศิลปวัฒนธรรมของไทยในยุคปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่คนไทยมีความตื่นตัวและเห็นความสำคัญของงานด้านนี้เพิ่มยิ่งขึ้น
เมื่อเกิดกรณีทับหลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ขึ้น
ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่าทับหลังหรือรูปจำหลักศิลาภาพพระนารายณ์
บรรนทบเหนือเกษียรสมุทรได้ถูกลักลอบนำไปจากประสาทหินพระนมรุ้ง จังหวัดบรีรัมย์
เมื่อหลายสิบปี ก่อนและไปปรากฎตั้งแสดงอยู่ที่สถาบันศิลป ณ นครชิคาโก ประสหรัฐเอริกา
รัฐบาลหลายสมัยได้พยายยามเรียกร้องให้สถาบันดังกล่าวคือทับหลังให้แก่ประเทศไทยเรา
แต่ความพยายามก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทังกรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะปฎิสังขรณ์
ปราสาทหินพนมรุ้งใกล้จะสำเร็จเรียบร้องจึงได้มีความพยายามในเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งและความพยายามในครั้งสุดท้ายก็สัมฤทธิผล
ทับหลังก็ได้กับคืนมาเป็นสมบัติของชาติ จนกระทั่งทุกวันนี้
หลังจากนั้นกระแสการอนุรักษ์ก็ลดความเชี่ยวกรากลงจนบันนี้ได้เกิดขบวนการขุดค้น
และค้าวัตถึโบราณขึ้นในภาคอีสานซึ่งมีโบราณสถานอยู่มากมายถึง 1000 แห่ง โดยแบ่งเป็นปราสาท
300 แห่ง เมืองโบราณ 500 แห่ง และชุมชนโบราณ 1000 แห่ง อันมีความงดงามและยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก
แต่ในปัจจุบันความสมบูรณ์ของโบราณสถานได้คงเหลือเพียง 40 - 50 % เท่านั้น
เพราะการลักรอบขุดทำลายตัดยอดศิลปวัตถุให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เพื่อสะดววกต่อการลักรอบนำไปขายให้กับผู้ซื้อที่ถายนอกและถายในประเทศ
จะเห็นได้ว่ากรณีทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ คงมิได้เป็นกรณีเดียวที่ว่าศิลปวัตถุจากประเทศหนึ่งถูกลักรอบนำไปแสดงหรือนำไปขายยนังประเทศหนึ่ง
ประเทศเป็นเจ้าของทรัพย์ยากรและมรดรทางวัฒนธรรมทั้งหมายต่างก็มีความหนักอกหนรักใจสำหรับปัญหามีเรื่องนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
ในขนาดเดีนวกันกับที่ประเทศอีกหลายประเทศดำรงอยู่ในฐานที่มั่งคังมีกำลังทางเศรษฐทรัพย์มีกำลังการซื้อเป็นนตลาดที่ดี
สำหรับค้าของเก่าผลประโยชน์ของประเทศทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันอยู่
ปัญหาก็คือจะทำอย่างไรกับสังบคมระหว่างประเทศ จะสามารถมีกติกาที่แน่นอนในการประนีประนอม
หรือทำความสตกลงข้อยุติในเรื่องนี้ได้
กฎหมายระหว่างประเทศที่มีบทบัญญัติเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียกทรัพย์ทางวัฒนธรรมก็คือ
อนุสัญญายูเนสโก 1970 สำหรับประเทศที่มิได้เป็นภาคีอนุสัญญา ก็เรียกคืนทรัพย์ทางวัฒนธรรมก็แทบที่จะเป็นไม่ได้
เพราะเห็นว่ารัฐแต่ละรัฐมีบูรณภาพแลระอธิปไตย รัฐอื่นไม่สามารถเข้ายุ่งเกี่ยวภายในรัฐนั้นได้
เว้นแต่จะมีข้อตกลงในรูปแบบต่าง เช่น สนธิสัญญา หรือมีการเจรจาตกลงกันแบบหลายฝ่าย
(พหุภาคี) หรือการเจรจาตกลงกันแบบสองฝ่าย (ทวิภาค) รัฐจึงจำเป็นเข้าเป็นอนุสัญญายูเนสโก้
เพิ่อทำให้เรียกคืนทรัพย์ทางวัฒนธรรมได้ แต่ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
1) จะต้องเป็นทรัพย์ในทางศาสนาหรือทางโลก ซึ่งถูกกำหนดเป็นวิเศษโดยแต่ละรัฐเห็นว่ามีความสำคัญทางโบราณคดี
2) จะต้องจัดอยู่ใน 11 ประเภท ตามที่กำหนดไว้ในอนุสัญญา
3) ทรัพย์นั้นจะต้องประกอบเป็นส่วนหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งจะต้องแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธุ์รัฐที่มีต่อทรัพย์สินในฐานที่เป็นมรดก
ทางวัฒนธรรม เช่นเป็นทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่ได้ถูกสร้างโดยเอกชน หรือกลุ่มนักปราชญ์ของชาติ
ทั้งทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่ได้ก่อตั้งอยู่ในอาณาเขตของรัฐเป็นต้น
โดยทรัพย์สินทางวัฒนธรรมดังกล่าวข้างต้น จะต้องเข้าองค์ประกอบครบทุกข้อตามมาตรา
7 (B) (I)
(1) รัฐจะต้องห้ามการนำเข้าทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่ถูกขโมยมาจากพิพิธภัณฑ์
หรืออนุสรษ์สถานหรือศาสนสถานหรือสถาบันอื่นที่ทำหนร้าที่คลายคลึงกัน
(2) ทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่ถูกขโมยมานั้น จะต้องเป็นทรัพย์ทางวัฒนธรรมของรัฐภาคี
อื่น
(3) การนำเข้าของทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่ถูกขโมยมานั้นจะต้องนำเข้าภายหลังการเข้าเป็นภาคี
ของรัฐที่เกี่ยวข้อง
(4) ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่ถูกขโมยนั้น จะต้องการขึ้นทะเบียนว่าต้องเป็นของที่มีอยู่ในบัญชีรายการของสถาบันนั้น
ข้อบกพร่องในการเรียกทรัพย์ทางวัฒนธรรม ที่สามารถ จะเรียกคืนนั้นจะต้องเข้าองค์ประกอบตามมาตรา
7 (B) (I) คือจะตต้องถูกลักขโมยออกไปจากรรัฐถายหลังที่เป็นภาคีของรัฐคู่กรณีแล้วและเป็นทรัพย์สินที่มาจากพิพิธภัณฑ์
หรืออนุสรษ์สถาบันที่ทำหน้าที่คลายคลึงกันรวมทั้งได้รับการขึ้นทะเบียนไว้ในบัญชีรายการของพิพิธภัณฑ์
ถ้าขาดข้อใดข้อหนึ่งดังกล่าวนี้ จะทำให้การเข้าทรัพย์ทางวัฒนธรรมเป็นไปได้โดยชอบทางกฎหมาย
ถึงแม้ว่ารัฐที่เป็นถิ่นกำเนิดทางทรัพย์สินทางวัฒนธรรมจะปฎิเสธใบรับรองการส่งออกก็ตาม
และยิ่งไปกว่านั้น รัฐภาคีก็ไม่มีหน้าที่ที่จะส่งคืนทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของรัฐภาคีอื่นใดที่นำเข้ามายังรัฐของตน
การตีความตามมาตรา 7 นี้ เป็นเหตุให้การควบคุมกานำเข้าทรัพย์สินทางวัฒนธรรมมีช่องว่าทำให้ทรัพย์สินบางประเภทที่ไม่เข้าองค์ประกอบนี้
สามารถนำเข้ามาในรัฐได้ เช่น ทรัพย์สินทางวัฒนธรรม ที่ได้จากการสร้าง ที่ได้จากการลักลอบขุดค้นทางโบราณคดี
หรือ ทรัพย์สินในความครอบครองเอกชน เทียบเคียงกับ TARANAKI PANELS
โดยข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าประเทศอังกฤษและประเทศนิวซีแลนด์เป็นภาคีในอนุสัญญาทั้งคู่
ไม้แกะสลักได้ถูกส่งออกโดยมิชอบด้วยกฏหมายจากประเทศนิวซีแลนด์ไปยังประเทศอังกฤษ
ซึ่งเข้าตามบทบัญญัติของอนุสัญญาคือได้มีการเคลื่อนย้ายโดยปราศจากใบอณุญาติการส่งออก
แต่ไม่ได้ขโมยมาจากพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานหรือสถาบันอื่นที่ทำหน้าที่คล้ายคลึงกัน
ประเทศอังกฤษจึงไม่ผูกมัดว่าจะต้องห้ามการนำเข้าทรัพย์สินทางวัฒนธรรมนั้นตามคำเรียกร้องขอของประเทษนิวซีแลนด์
เพราะว่าไม่เข้าตามบทบัญญัติในมาตรา 7 (B) (I) ของอนุสัญญา
จากที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วท่านผู้อ่านคงเห็นได้ว่า กฎหมายระหว่างประเทศนั้นเป็นอุดมคติของมนุษย์ต่างชาติต่างภาษาร่วมกันสร้างขึ้น
แต่ข้อจำกัดกฎหมายระหว่างประเทศที่เป็นข้อยิ่งใหญ่ และสำคัญยิ่งนักสิ่งที่ทุกคนตระหนักอย่างพร้อมเพรียง
ก็คือยังไม่มีรัฐใดมีอำนาจยิ่งใหญ่กว่ารัฐอื่นโดยสิทธิเด็ดขาดที่จะบังคับให้อีกรัฐหนึ่งจำยอมต้องปฏิบัติ
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเรายังไม่มีตำรวจโลกบังคับให้รัฐบาลประเทศนั้น ประเทศนี้ปฏิบัติตามได้เป็นการถาวร
แม้แต่การเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญายูเนสโก ยังเป็นไปด้วยความสมัครใจ หรือแม้กระทั่งรัฐสมัครเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาแล้ว
รัฐเองก็สามารถจะสงวนสิทธ์ที่จะยอมรับข้อสัญญาบางข้อและปฏิเสธการผูกพันข้อสัญญาบางข้อก็ทำได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้นความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ไม่สามารถกล่าวได้เต็มปากว่าบรรลุผลของสัญญาได้เต็ที่โดยบริบูรณ์
แต่อย่างไรก็ดีการที่เรามีอนุสัญญาที่ว่านี้ รวมทั้งมีกฎเกณฑ์กฎหมายระหว่างประเทศอีกหลายฉบับ
ก็คงเป็นหลักประกันในเบื้องต้นว่ามนุษยชาติได้มีความพยายามในการแก้ปัญหาในเรื่องนี้
แน่นอนว่าในการเกิดปัญหาแท้จริงขึ้นในทางปฏิบัติ ความสำเร็จในการจะแก้ปัญหานั้นคงจะต้องเกิดขึ้น
ในการเจรจาแบบทวิภาคี ระหว่างรับบาลประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่ง หรือแม้กระทั่งระหว่างสถาบันเอกชนประเทศหนึ่งกับสถาบันอีกประเทศหนึ่ง
รวมกระทั่งพยายามสร้างแรงกดดันทางด้านการเมืองหรือแรงกดดันทางด้านศีลธรรมระหว่างประเทศ
เพื่อให้ประเทศที่อยู่ในฐานะเหนือกว่าทางเศรษฐกิจ แต่เป็นผู้ใช้สถานภาพของตนเองนำเอาศิลปะวัตถุจากประเทศที่ด้อยกำลังทางเศรษฐทรัพย์กว่ามาเป็นของตนเอง
รัฐ จำเดิมเผด็จศึก สำนักงานกฎหมายสนอง ตู้จินดา