กฤษดามหานครเล็งรื้อแผนธุรกิจ หลังรอเม็ดเงินเพิ่มทุนก้อนใหม่เข้ามาภายใน 20 ก.ค.นี้ หวังนำเงินชำระหนี้และไถ่ถอนทรัพย์คืนจากสถาบันการเงิน เปรยแนวโน้มยอดขายไตรมาส 2 ส่อโอกาสดี รับอานิสงส์คอนโดฯหนุนรายได้ทดแทนตลาดบ้านเดี่ยวที่ชะลอตัว แต่ก็ยอมรับว่าการเมือง เศรษฐกิจปัจจัยกดดัน จำใจต้องลดเป้ารายได้ลงมาเหลือ 1,600 ล้านบาท
นายวิรัตน์ เอื้ยวอักษร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทกฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC เปิดเผยถึง ความคืบหน้าเรื่องของการเพิ่มทุนจำนวน 1,500 ล้านบาท และการออกหุ้นกู้จำนวน 1,400 ล้านบาทว่า หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้มีมติอนุมติให้เพิ่มทุนได้ ขณะนี้บริษัทก็กำลังดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ อยู่ โดยในเบื้องต้นคาดว่า จะได้จำนวนเงินเพิ่มทุนและเงินจากออกหุ้นกู้เข้ามาภายในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้ ซึ่งจำนวนเงินที่ได้จากการเพิ่มทุน บริษัทจะนำเงินไปใช้ในการปรับโครงสร้างหนี้และชำระหนี้NPL และทรัพย์สินรอการขาย(NPA) ทั้งหมด ส่วนเงินที่ได้จากออกหุ้นกู้นั้น บริษัทจะนำไปใช้ในการทำโปรเจกต์ใหม่และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
สำหรับแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 2/2550 คาดว่ารายได้น่าจะออกมาดีกว่าไตรมาส 1/2550 เนื่องจากยอดขายในไตรมาสแรกไม่เป็นไปตามเป้า ดังนั้นทางจึงได้ปรับเปลี่ยนนโยบายและแผนการตลาดใหม่ โดยหันมารุกตลาดคอนโดนิเนียมให้เพิ่มมากขึ้น จากเดิมที่มีสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียมเพียงแค่ 40% เป็น 60% และจะลดสัดส่วนรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยวลงเหลือ 40% แทน
นายวิรัตน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้บริษัทได้ทำการปรับเป้ารายได้ลงเหลือ 1,600 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ที่ 2,400 ล้านบาท สาเหตุที่ปรับเป้ารายได้ลงก็เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับสถานการณ์การเมืองที่ยังคงมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้ รายได้ในปีนี้จะมาจากโครงการคอนโดมิเนียม 1,000 ล้านบาท ส่วนอีก 600 ล้านบาทที่เหลือจะเป็นรายได้จากโครงการบ้านเดี่ยว
"จริง ๆ แล้วในปีนี้เราตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท แต่ว่าในปีที่แล้วรายได้ของบริษัท ไม่ได้เป็นไปตามที่เราตั้งไว้ โดยในปีที่แล้วยอดขายของเราอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท และพอมาในปีนี้ ก็เลยตั้งเป้ายอดขายเหลือเพียง 2,400 ล้านบาท เพราะว่าในปีนี้ บริษัทมาเจอปีภาวะเศรษฐกิจและมาเจอปัญหาการเมืองด้วย ทำให้เราไม่ค่อยกล้าที่จะตั้งเป้าเยอะ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าหากปีนี้มันไม่แย่กว่าที่เราคิดไว้เราก็คิดว่าเป้าที่ 2,400 ล้านบาทไม่น่ายาก แต่ถ้าหากสถานการณ์แย่กว่าที่เราคิดไว้เราก็คงจะต้องปรับเป้ารายได้ลงมาที่ 1,600 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับปีที่แล้วแต่ขณะเดียวกันเราก็จะพยายามที่จะระดับกำไรให้เติบโตต่อเนื่อง"
นายวิรัตน์ กล่าวต่อว่า ในครึ่งปีหลังนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการเดอะคริส เฟส 4 มูลค่าโครงการประมาณ 300-350 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ประมาณเดือนสิงหาคมนี้ ส่วนโครงการแนวราบ บริษัทก็มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ย่านวงแหวน-อ่อนนุช และโครงการกฤษดาลากูน พระราม 5 เฟส 4 ซึ่งทั้ง 2 โครงการนี้มีมูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวได้ประมาณเดือนกรกฎาคม ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าโครงการที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 300 ล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่าในปีนี้จะทยอยรับรู้รายได้ได้ประมาณ 80% ส่วนอีก 20% ที่เหลือนั้นจะไปรับรู้รายได้ได้ในปี 2551
สำหรับแนวโน้มภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2550 ว่า ภาพรวมของอสังหาริมทรัพย์ยังไม่น่าจะดีเท่าที่ควร เพราะว่ามีปัจจัยลบในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง ทำให้บริษัทต้องขอประเมินสถานการณ์ทุกไตรมาส ซึ่งถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางบริษัทก็ต้องพร้อมที่จะปรับตัวและปรับแผนกลยุทธ์การดำเนินงานให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่าจะเริ่มฟื้นตัวขึ้น หากสถานการณ์การเมืองนิ่งและมีการเลือกตั้งที่ชัดเจนแน่นอน เชื่อว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็น่าจะกลับคืนมา
สำหรับราคาหุ้นที่เทรดอยู่ในกระดาน ณ ปัจจุบัน ทางบริษัทมองว่าระดับราคาหุ้นของบริษัทนั้นยังต่ำว่าความเป็นจริงและยังต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างมาก ซึ่งปัจจุบันมูลค่าทางบัญชี (Book Value) อยู่ที่ 2.30 บาท
|