ความจัดเจนในธุรกิจการเกษตร ความพร้อมในด้านเงินทุนและเทคโนโลยี ความมีประสิทธิภาพของกำลังคนของซีพีได้รับการพิสูจน์อีกครั้งว่าเหนือกว่าใคร
เมื่อเข้าสู่ธุรกิจกุ้งกุลาดำแบบครบวงจร โครงการส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งกุลาดำของซีพีต้องถือว่าเป็นกรณีศึกษาในการดำเนินกลยุทธ์ที่เยี่ยมยอดเพื่อมัดหัวใจเกษตรกรให้อยู่มือ
ทุก ๆ ฟาร์มของซีพีจะออกแบบโดยใช้แนวความคิดพื้นฐานนี้ ปัจจุบันซีพีมีฟาร์มเลี้ยงกุ้งของตัวเองอยู่ทั่วประเทศแห่ง
พื้นที่ประมาณ 8,500 ไร่ ซึ่งนับว่าเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยฟาร์มใหญ่ที่สุดของซีพีคือฟาร์มปากพนัง
2 ที่อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีเนื้อที่ถึง 1,500 ไร่
รองลงมาคือฟาร์มที่อำเภอหัวไทรา จังหวัดนครศรีธรรมราชเช่นเดียวกันที่ใช้ชื่อว่านครฟาร์มมีเนื้อที่
1,200 ไร่ จำนวน 70 บ่อเลี้ยง เป็นฟาร์มที่มีระบบการจัดการสมบูรณ์แบบที่สุด
ซีพียังได้ร่วมทุนกับมิตซูบิชิของญี่ปุ่นตั้งบริษัทกรุงเทพเพาะเลี้ยงกุ้งขึ้นมาทำธุรกิจกุ้งกุลาดำแบบครบวงจรซึ่งประกอบไปด้วยฟาร์มเลี้ยงพื้นที่
500 ไร่ และห้องเย็นขนาด 120 ตันต่อเดือนที่อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา
"ฟาร์มเลี้ยงโดยจุดมุ่งหมายก็ไม่ได้ทำเพื่อผลิตสินค้าออกมาแข่งหรือมาขายอะไร
เป็นฟาร์มสาธิตมากกว่า" ดร.สุจินต์ ธรรมศาสตร์ กรรมการผู้จัดการบริษัทกรุงเทพเพาะเลี้ยงกุ้งเปิดเผย
เขาอธิบายว่า เหตุผลที่ต้องมีหลาย ๆ ฟาร์มกระจายไปทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ก็เพราะในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันต้องใช้วิธีเลี้ยงที่ต่างกันด้วย
จึงต้องมีฟาร์มสาธิตหลาย ๆ แห่ง
ผู้บริหารของซีพีมักจะพูดถึงหลักการในการทำธุรกิจของซีพีข้อหนึ่งว่า "เกษตรกรคือคู่ชีวิต"
ที่จะต้องเติบโตไปพร้อม ๆ กับความสำเร็จทางธุรกิจของซีพีเอง เพราะตลาดอาหารสัตว์ของซีพีคือเกษตรกรพวกนี้
"จุดของเราก็คือถ้าเขาเลี้ยงกุ้งได้เราก็มีตลาดอาหาร เพราะธุรกิจหลักของเราเป็นอย่างนั้น
เราปล่อยให้เขาตายไม่ได้ อย่างไรก็ต้องช่วยกันจนสุดฤทธิ์" สุจินต์กล่าว
ฟาร์มสาธิตของซีพีในแต่ละจุดจึงมีบทบาทเป็นศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงกุ้งให้กับเกษตรกรด้วยเพราะยิ่งเลี้ยงกันมากเท่าไร
เลี้ยงกันได้นานเท่าไรอาหารกุ้งของซีพีก็จะพลอยขายดีไปด้วย นอกจากนั้นแล้วฟาร์มเหล่านี้ยังมีห้องแล็บที่ให้บริการฟรีแก่เกษตรกร
ในเรื่องการตรวจรักษากุ้งที่เจ็บป่วย และเจ้าหน้าที่วิชาการประจำฟาร์มยังต้องทำหน้าที่ให้คำปรึกษาในการเลี้ยงแก่ผู้เลี้ยงในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย
บทบาทตรงนี้จะถือว่าเป็นบริการหลักการขายแบบให้เปล่าใหัมัดใจผู้เลี้ยงให้ใช้อาหารกุ้งซีพีเพิ่มขึ้นเรื่อย
ๆ ก็ได้
ในขณะเดียวกันการลงทุนทางด้านฟาร์มเลี้ยงกุ้งของซีพีถูกจับตามองว่า น่าจะแฝงไว้ด้วยจุดประสงค์อย่างอื่น
เพราะแต่ละฟาร์มนั้นมีขนาดใหญ่โตเกินความจำเป็นในการที่จะเป็นเพียงแค่ฟาร์มสาธิตเพียงอย่างเดียว
"ไม่ใช่เป็นฟาร์มทดลองอย่างเดียวแต่ว่าต้องการคุมการส่งออกไว้ด้วย เพราะต้องกุมวัตถุดิบในมือให้ได้"
แหล่งข่าวในวงการเลี้ยงกุ้งรายหนึ่งตั้งข้อสงสัยไว้อย่างนี้
หลังจากสามารถคุมตลาดอาหารกุ้งซึ่งถือว่าเป็นต้นทางธุรกิจอาหารกุ้งเอาไว้ในมือได้เรียบร้อยแล้ว
ซีพีก็รุกคืบเข้าไปยังธุรกิจปลายทางคือห้องเย็น ซึ่งเป็นช่องทางสำหรับการส่งออกไปต่างประเทศ
เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว ห้องเย็นของบริษัทซีฟู้ดส์ เอ็นเตอร์ไพรส์ ในสังกัดของเจริญโภคภัณฑ์อาหารสัตว์
ซึ่งตั้งอยู่ที่มหาชัยก่อสร้างเสร็จ มีกำลังการผลิต 12,000 ตันต่อปี อีกสี่เดือนต่อมา
ห้องเย็นที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มีกำลังการผลิตปีละ 15,000 ตัน ทั้งสองแห่งนี้เป็นห้องเย็นสำหรับแปรรูปกุ้งกุลาดำโดยเฉพาะ
การส่งออกกุ้งกุลาดำไม่ต่างจากธุรกิจส่งออกเกือบทุกประเภทของไทยที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นเพียงผู้ผลิตตามคำสั่งของผู้นำเข้า
หรือโบรคเกอร์ในตลาดต่างประเทศเท่านั้น อำนาจการต่อรองของผู้ส่งออกไทยจึงแทบจะไม่มีเพราะไม่มีเครือข่ายการตลาดของตัวเองอยู่ในมือ
การคุมวัตถุดิบให้อยู่ในมือไว้ได้มากที่สุดจึงเป็นวิธีการหนึ่งสร้างอำนาจต่อรองในตลาดโลกได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากการลงทุนในประเทศแล้ว ซีพียังขยายเครือข่ายธุรกิจกุ้งกุลาดำออกไปยังอินโดนีเซียด้วย
โดยมีโรงงานอาหารกุ้งและห้องเย็น อยู่ที่สุราบายา กับเมดาน และยังมารฟาร์มเลี้ยงกุ้งกระจายกันอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั่วอินโดนีเซียรวมกันแล้วประมาณ
30,000 ไร่แถมยังมีโครงการลงทุนในจีนและเวียดนามที่กำลังศึกษาอยู่
ปัจจุบันซีพีมีส่วนแบ่งของการส่งออกกุ้งกุลาดำเพียงแค่ 10% เท่านั้น ยังเทียบไม่ได้กับยักษ์ใหญ่อย่างไทยแลนด์ฟิชเชอรี่
สุรพล ซีฟู้ดส์หรือเจ้าพระยาห้องเย็น เหตุผลข้อแรกนั้นอาจจะอยู่ในที่ขนาดกำลังการผลิตของซีพีที่น้อยกว่า
แต่เหตุผลสำคัญคือไม่สามารถหาวัตถุดิบคือกุ้งกุลาดำได้อย่างเพียงพอ
กลางปี 2532 เกิดภาวะราคากุ้งกุลาดำในประเทศตกต่ำจากราคากิโลกรัมละ 220
บาทเมื่อปี 2531 ลดลงเหลือเพียง 100-110 บาทเท่านั้น จนเกิดการเดินขบวนประท้วงมายังทำเนียบรัฐบาลของชาวนากุ้ง
สาเหตุสำคัญคือ ห้องเย็นที่จะรับซื้อกุ้งมีไม่เพียงพอเพราะบีโอไองดส่งเสริมการลงทุนมาตั้งแต่ปี
2527 แล้ว
เมื่อเกิดปัญหาราคากุ้งตกต่ำขึ้นมา บีโอไอจึงให้การส่งเสริมใหม่ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมปี
2532 ซึ่งมีผู้ข้อรับการส่งเสริมมากมายรวมทั้งห้องเย็นทั้งสองแห่งของซีพีด้วย
แต่หลังจากนั้น ก็มาเจอปัญหาพื้นที่แถวมหาชีย แม่กลองเสียหายจนเลี้ยงต่อไปไม่ได้
ทำให้ผลผลิตหายไปถึงครึ่งหนึ่งของการผลิตทั้วประเทศ ในขณะที่ห้องเย็นหลาย
ๆ แห่งกำลังขยายตัว จึงเกิดภาวะการขาดแคลนวัตถุดิบขึ้นมา
"ห้องเย็นสร้างมาสำหรับผลิตวันละ 50 ตันแต่มีกุ้งเข้ามาวันละ 10 ตันเท่านั้น
ทุกวันนี้ที่เราส่งออกกันอยู่นั้นขาดทุนนะครับ" ผู้บริหารของซีพีอินเตอร์เทรดคนหนึ่ง
พูดถึงอีกปัญหาอันเนื่องมาจากวัตถุดิบไม่พอกับกำลังการผลิต
การขยายฟาร์มกุ้งกุลาดำของซีพีจึงเป็นไปเพื่อให้มีวัตถุดิบอยู่ในมือมากที่สุด
เพื่อป้อนห้องเย็นให้เพียงพอ ซึ่งจะโยงไปถึงอำนาจต่อรองในตลาดโลกอีกทีหนึ่ง
ถึงวันนี้ซีพีรุกไปทั่วทุกชายฝั่งทะเลของภาคใต้แล้ว ก้าวต่อไปจากนี้คือการเพิ่มพื้นที่เลี้ยงกุ้งกุลาดำในรูปแบบของ
CONTRACT FARMING ความพร้อมในเรื่องเทคโนโลยีทั้งอาหารกุ้ง และระบบกรรมวิธีในการเลี้ยง
บุคลากรที่แต่ละคนมีประสบการณ์อย่างโชกโชนจากฟาร์มที่มีอยู่เกือบทุกพื้นที่
ความชัดเจนในเรื่องงานสัมพันธ์มวลชน ทำให้ซีพีคืบเข้าสู่ขั้นตอนใหม่ของธุรกิจกุ้งกุลาดำแบบครบวง
ในขณะที่แอควาสตาร์พัฒนาระบบการเลี้ยงแบบ CONTRACT FARMING ของตัวเองได้อย่างมั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว
ซีพีเพิ่งจะเริ่มลงมือ
"คนอื่นมองอาจจะเห็นว่าช้า แต่ซีพีต้องสำเร็จมากกว่า 90% ขึ้นไปถึงจะโอเค"
สาโรจน์ ทั่วจบผู้รับผิดชอบโครงการส่งเสริมของบริษัทส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของซีพีกล่าว
สาโรจน์เป็นคนอำเภอเมือง นครศรีธรรมราชเขาจบการศึกษาจากคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิจัยพัฒนาอาหารสัตว์น้ำกับซีพีมาก่อนที่จะผันตัวเาองเข้าไปในเรื่องของการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ
โดยไปประจำอยู่ที่ฟาร์มของซีพีทางภาคตะวันออกเป็นเวลาหกปีก่อนที่จะเข้ามารับผิดชอบโครงการนี้
โครงการส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งกุลาดำนี้ตั้งอยู่ที่อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช
ไม่ไกลจากพื้นที่ของแอควาสตาร์เท่าไรนัก สาโรจน์เข้ามารับผิดชอบโครงการนี้ตั้งแต่เดือนมกราคม
2533 เขาใช้เวลา 6 เดือนในการพบปะทำความรู้จัก และเผยแพร่หลักการของโครงการนี้ให้กับชาวบ้านในละแวกนั้น
ทีมงาน 9 ใน 10 คนของเขาเป็นคนใต้เช่นเดียวกับเขา การติดต่อสื่อสาร สร้างความสัมพันธ์กับคนท้องถิ่นจึงเป็นอย่างราบรื่นโดยไม่ต้องพึ่งพาข้าราชการหรือผู้กว้างขวางในพื้นที่
"เรียกว่าเป็นกลยุทธ์ของเราก็ได้" สาโรจน์กล่าว
บริษัท ส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รับผิดชอบโครงการ CONTRACT FARMING
ของซีพีโยเฉพาะหลักการในการดำเนินงานตามโครงการคือเกษตรกรที่ต้องการเลี้ยงกุ้งกุลาดำต้องรวมตัวกัน
โดยทางโครงการจะประสานงานกับ กรมส่งเสริมสหกรณ์ในการจัด ตั้งเป็นสหกรณ์ขึ้นมา
ที่ดินทั้งหมดจะต้องยกให้กับสหกรณ์ซึ่งจะมีคณะกรรมการที่สมาชิกเลือกกันขึ้นมาเองเป็นคนดูแลผลประโยชน์
หลักการในการรวมที่ดินก็คือ ทุกคนต้องมีที่ดินทั้งหมด 8 ไร่ ซึ่งจะแบ่งเป็นพื้นที่เลี้ยง
5 ไร่ อีก 3 ไร่สำหรับเป็นพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของสหกรณ์
ส่วนพื้นที่เลี้ยงนั้นยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของสมาชิกสหกรณ์อยู่
"กติกาที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ หนึ่งคนมีได้ไม่เกิน 2 บ่อใครมีที่ดินมากกว่านั้นต้องขายให้คนที่มีที่ดินไม่ครบ
ในราคากลางซึ่งจะกำหนดกันขึ้นมาเอง" สาโรจน์บอกว่า เรื่องการซื้อขาย
การรวมที่ดินเขาจะช่วยในการ ตั้งกฎเกณฑ์แต่จะไม่เข้าไปเป็นผู้เจรจาเสียเอง
เป็น หน้าที่ของคณะกรรมการสหกรณ์ซึ่งมาจากการเลือก ของสมาชิก
โครงการนี้ปัจจุบันมีเนื้อที่ 500 ไร่ แบ่งออกเป็น 50 บ่อ มีสมาชิก 41
ราย "สหกรณ์มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือรวมที่ดินยกให้บริษัทเช่าเป็นเวลา
10 ปีทุกสิ่งทุกอย่างเราเป็นคนดำเนินการจนกว่าจะครบ 10 ปี แล้วจะคืนให้เป็นทรัพย์สินของสหกรณ์"
สาโรจน์กล่าว และการเช่าที่ดินจากสหกรณ์นี้ไม่มีการคิดค่าเช่าแต่อย่างใด
ซีพีจะเป็นผู้ออกแบบลงาทุนขุดบ่อและวางระบบสาธารณูปโภคทั้งหมดในที่ดินที่เช่าจากสหกรณ์บริษัทส่งเสริมฯ
เป็นผู้กู้เงินจากธนาคารทหารไทยเองโดยไม่ต้องเอาที่ดินส่วนกลางของสหกรณ์ไปค้ำประกัน
คนที่ติดต่อหาแหล่งเงินกู้และค้ำประกันให้คือเครือซีพีนั่นเอง และบริษัทฯ
จะรับผิดชอบในการชำระเงินกู้นี้เองโดยสหกรณ์ไม่ต้องเข้ามาผูกพัน
ซีพีให้เงินลงทุนขุดบ่อสร้างระบบตรงนี้ราว 100 ล้านบาท ถ้าคิดว่าเงิน 100
ล้านบาทนี้คือค่าเช่าที่ดิน 500 ไร่เป็นเวลา 10 ปี บวกลบคูณหารออกมาแล้วเป็นค่าเช่า
20,000 บาทต่อไร่ต่อปีเท่านั้น สำหรับที่ดินที่ให้ผลตอบแทนจากการเลี้ยงกุ้งกุลาดำได้อย่างงดงามนั้นต้องถือว่าเป็นต้นทุนที่ถูกมาก
ๆ
แต่สิ่งที่มีค่ามหาศาลมากกว่านี้คือ ความรู้สึกที่ดีต่อซีพีว่าเป็นเหมือนผู้ที่มีแต่ให้
เพราะเกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการนั้นไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนกลางให้ซีพีโดยตรง
แถมยังไม่ต้องรับภาระการลงทุนในการขุดบ่อเหมือนโครงการของแอควาสตาร์ด้วย
เมื่อมาถึงการเลี้ยง ซีพีได้จัดอบรมผู้เข้าร่วมโครงการไปแล้วหลายครั้ง
ถึงเวลาลงมือเลี้ยงจริง ๆ จะมีนักวิชาการของซีพีเข้ามาควบคุมดูแลทุก ๆ บ่อสมาชิกจะเป็นผู้ปฏิบัติตามคำแนะนำ
"ตามหลักการที่วางเอาไว้ หลังจากสองสามปี เราจะให้เกษตรกรลงมือทำบ้าง
นี่เป็นการสอนงาน ถ่ายทอดงาน เพราะว่าครบ 10 ปีแล้ว บริษัทจะถอนตัวออกไป
ชาวบ้านต้องทำเอง" สาโรจน์กล่าว
ยังไม่มีใครประเมินความยืนยาวของอาชีพการเลี้ยงกุ้งกุลาดำได้อย่างแน่นอนว่าจะยั่งยืนไปได้เกิน
10 ปีหรือไม่ ตัวสาโรจน์เองเชื่อว่าจะเลี้ยงได้เกิน 10 ปีแต่อยู่บนสมมติฐานว่าต้องรักษาสภาพแวดล้อมให้ดี
ซึ่งมีเงื่อนไขกำกับอีกทีหนึ่งว่า ต้องรณรงค์ให้เข้าใจกัน ในหมู่ผู้เลี้ยงกุ้ง
และต้องปฏิบัติตามด้วย
ระหว่างการเลี้ยงซึ่งเกษตรกรยังไม่มีรายได้นั้นซีพีจะออกค่าใช้จ่ายประจำเดือนให้สมาชิกคนละ
2,500 บาทต่อเดือน เงินจำนวนนี้และค่าแรงของนักวิชาการประจำบ่อคิดเป็นต้นทุนแรงงานซึ่งจะรวมอยู่ในต้นทุนการผลิตกุ้งด้วย
โครงการส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งกุลาดำนี้ ไม่บังคับว่าจะต้องซื้อลูกกุ้งจากซีพี
"ผมเปิดอิสระเต็มที่ ผมถือว่านักวิชาการ ชาวบ้านเคยเลี้ยงกุ้งมาแล้ว
ให้ทุกคนเป็นหูเป็นตา ไปเลือกซื้อ แต่นักวิชาการแต่ละจุดจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อดีไหม
เราไม่กำหนดว่าจะต้องซื้อจากซีพีเราสนใจตัวลูกกุ้งว่าดีหรือไม่ดี"
เช่นเดียวกับอาหารกุ้งที่สาโรจน์บอกว่า ไม่มีการกำหนดว่าจะต้องซื้อจากซีพีแต่เพียงผู้เดียว
แต่ให้เลือกใช้ที่ดีที่สุดในตลาด ซึ่งทางบริษัทจะเป็นคนให้หลักการว่าควรจะใช้อาหารลักษณะอย่างไร
"ถ้าซื้อจากซีพี เฉพาะโครงการนี้เท่านั้น ผมติดต่อกับบริษัทใหญ่เลย
ซื้ออาหารถูกกว่าท้องตลาดแน่นอน เรื่องนี้อยู่ในสัญญาข้อที่สาม"
อาหารกุ้งของซีพีนั้นมีอยู่ด้วยกันถึง 5 ยี่ห้อ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการทำตลาด
ส่วนแบ่งตลาดของทั้ง 5 ยี่ห้อ คู่แข่งขันของซีพีในธุรกิจอาหารกุ้งยอมรับว่าสูงถึง
90% และมีคุณภาพดีเยี่ยม
ความมั่นใจในอำนาจทางการตลาดและคุณภาพที่เหนือกว่าคู่แข่ง ทำให้ซีพีไม่จำเป็นที่จะต้องกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรลงไปอย่างชัดเจนว่า
ต้องใช้อาหารกุ้งของซีพีเท่านั้น ความรู้สึกถูกผูกมัดของเกษตรกรจึงไม่มีแต่กลับจะช่วยให้มองซีพีว่าใจกว้างกับเกษตกรในโครงการเสียด้วยซื้อไป
แรงจูงใจอีกข้อหนึ่งคือซีพีจะรับประกันราคาขั้นต่ำให้กับเกษตรกรตามขนาดของกุ้ง
ขั้นตอนในการขายกุ้ง บริษัทส่งเสริมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีอำนาจในการตัดสินใจว่าจะขายให้ใครเพราะบริษัทลงทุนในการเข่าที่
สินค้าทุกอย่างจึงต้องเป็นของบริษัท แต่ไม่ได้ผูกมัดลงไปในสัญญาว่าจะต้องขายให้กับซีพีเท่านั้น
"เราจะใช้วิธีประมูล เชิญห้องเย็นมาเสนอราคาแข่งขันกัน เราจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะขายให้ใคร
ทุกขั้นตอนการดำเนินงานคณะกรรมการของสหกรณ์จะสังเกตการณ์อยู่ตลอดเวลาสาโรจน์กล่าว
แต่ละบ่อในโครงการนั้นจะมีบัญชีต้นทุน รายรับ รายจ่ายแยกกันเป็นรายบ่อ
รายได้จากการขายกุ้งทุกบ่อจะถูกหักด้วยค่าอาหาร ต้นทุนด้านแรงงานค่าลูกกุ้ง
ค่าไฟซึ่งจะมีมิเตอร์ติดประจำบ่อ และค่าดอกเบี้ยเงินที่กู้มาลงทุนขุดบ่อ
ส่วนที่เหลือจะเป็นกำไรสุทธิ ซึ่งจากการบอกเล่าของสาโรจน์จะแบ่งกันระหว่างเกษตร
90% และบริษัท 10% แต่ข้อมูลจากฝ่ายบริหารเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของซีพีบอกว่า
ตัวเลขนี้บริษัทได้ส่วนแบ่งต่ำเกินไป และได้มีการปรับใหม่เป็น 70% ต่อ 30%
ถ้าคิดผลผลิตเฉลี่ย 1.5 ตันต่อไร่ บ่อหนึ่ง ๆ 5 ไร่ จะได้ 7.5 ตันต่อไร่กำหนดราคากุ้ง
160 บาท ต่อหนึ่งกิโลกรัม ต้นทุนการผลิต 100 บาทต่อกิโลกำไรสุทธิต่อหนึ่งบ่อคือ
450,000 บาท ส่วนแบ่งที่ซีพีจะได้คือ 135,000 บาทต่อหนึ่งบ่อ ปีหนึ่งหนึ่งสองครั้ง
ซีพีจะได้เงินส่วนนี้ 270,000 บาท
เงินส่วนนี้อาจจะตีเป็นกำไรจากการเลี้ยงกุ้งของซีพีในโครงการนี้ หรืออาจจะคิดเป็นเงินลงทุนในระบบสาธารณูปโภคตอนแรก
หรืออาจจะเป็นค่าสูบน้ำบริการบ่อกุ้งตลอดเวลาการเลี้ยง เมื่อเทียบกับค่าบริการ
761 บาทต่อวันหรือ 27,765 บาทต่อปี ที่เกษตรกรไม่พอใจ ตัวเลขไม่ต่างกันเท่าใดนัก
สิ่งที่แตกต่างกันอย่างมากก็คือความรู้สึกของเกษตรกรที่จะต้องถูกหักเงินจำนวนนี้
คนที่ไม่รู้ว่าเลี้ยงไปแล้วจะได้เงินมากน้อยเท่าไร แต่รู้แน่นอนว่าต้องเสียปีละสองแสนเจ็ดเป็นค่าน้ำค่าไฟ
กับคนที่รู้เพียงว่า ถ้าได้กำไร 100 จะเป็นของตัวเองถึง 70 ความรู้สึกประการหลังนี้ย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน
โครงการที่หัวไทรนี้เป็นโครงการแรกของการเข้าสู่การผลิตแบบ CONTRACT FARMING
ของซีพีสาโรจน์บอกว่าเสร็จจากโครงการนี้แล้ เขามีภาระที่จะต้องไปบุกเบิกพื้นที่ใหม่
ๆ ไป "ผมกำลังศึกษาว่าพื้นที่ไหนทำได้ มีคนเสนอเข้ามาเยอะ คิดว่าคงจะอยู่ในพื้นที่ใกล้
ๆ เป็นสุราษฎร์ พังงา กระบี่ ตรัง หรือสงขลา ที่ไหนก็ได้ แต่ต้องเหมาะสมสำหรับการเลี้ยงกุ้ง"
ซีพีนั้นได้เปรียบในแง่การมีบทเรียนจากธุรกิจไก่และหมูมาปรับใช้ มีเงินทุน
เครือข่ายทางธุรกิจอื่น ๆ และความเป็นเลิศทางด้านเทคโนโลยีด้านอาหารสัตว์รวมทั้งระบบการบริหารฟาร์มอันดีเยี่ยมมารองรับกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น
พลิกเพลงในการบริหารผลิตที่ต้องเกี่ยวข้องกับเกษตรกรท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก
ในขณะที่แอควาสตาร์ดำเนินโครงการอย่างเคร่งครัดสร้างความสัมพันธ์กับเกษตรกรภายใต้เงื่อนไขในสัญญาที่ผูกมัดกันอย่างชัดเจน
เปรียบไปแล้วซีพีก็เหมือนจอมยุทธ์ที่ถึงขั้นกระบี่อยู่ที่ใจ เพียงเริ่มต้นผนึกลงปราณตั้งกระบวนท่าประกายอำมหิตก็สยบชาวยุทธ์ทั้งมวลให้สยบโดยมิพักต้องชักกระบี่ออกจากฝัก