Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2534
แอควาสตาร์ บนทางวิบากของ "เพื่อนร่วมพัฒนา"             
 

   
related stories

กานต์ คูนซ์เวลาของคุณหมดแล้ว

   
search resources

แอควาสตาร์ ดีเวลลอปเม้นท์
กานต์ คูนซ์
Agriculture




แอควาสตาร์เข้าไปส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งกุลาดำที่อำเภอระโนดเมื่อสามปีที่แล้ว จนอาชีพใหม่นี้ได้พลิกโฉมหน้าของอำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้ไปจากเดิม ด้วยรูปแบบการดำเนินงาน ที่เคร่งครัด ตายตัว การบริหารงานที่หละหลวม และผลประโยชน์ที่เย้ายวนใจเกษตรกรจำแลง นำไปสู่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานมาถึงครึ่งปีแล้ว

ระโนด เป็นอำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัดสงขลาที่อยู่ต่อจากอำเภอหัวไทรของจังหวัดนครศรีธรรมราช แม้จะมีพื้นที่ด้านทิศตะวันออกติดกับชายฝั่งตะวันตกของอ่าวไทยแต่หาดทรายที่ระโนดก็ไม่วิจิตรพิสดารพอที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นให้มาเยือน ระโนดไม่มีธรรมชาติหรือสถานที่สำคัญที่จะเป็นจุดขายทางด้านการท่องเที่ยว พื้นที่ส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผืนนาที่ได้ผลบ้างไม่ได้บ้างขึ้นอยู่กับความเมตตาของฟ้าดิน เว้นแต่คนท้องถิ่นใกล้เคียงแล้วไม่ค่อยจะมีใครได้ยินชื่อของอำเภอระโนดมากนัก

"ผมยังจำได้ว่าตอนที่ผมมาอยู่ใหม่ ๆ ทั้งอำเภอมีผู้หญิงหากินอยู่หกคนคิดค่าบริการครั้งละ 70 บาท" เจ้าหน้าที่ของบริษัทกรุงเทพเพาะเลี้ยงกุ้งคนหนึ่งให้ภาพความเงียบเหงาของตัวเมืองจากการออกสำรวจในยามค่ำคืนของเขา

วันนี้ดัชนีบ่งชี้ความจำเริญทางวัตถุพุ่งขึ้นจากหากเป็นร้อยกว่าแล้ว เช่นเดียวกับราคาค่าบริการที่เกินหลักร้อยขึ้นไปจนถึงสองสามร้อยบาท มืออาชีพต่างถิ่นเริ่มโยกย้ายเข้ามาปักหลักตามร้านขายเหล้า ร้านอาหารที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากการทะเลาะวิวาทหลังจากร่ำสุราได้ที่ อุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซด์หรือรถปิคอัพชนกัน ถนนเข้าสู่อำเภอที่เคยว่างเปล่าเต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์ที่ควบคุมโดยเจ้าของที่ยังไม่ชำนาญในการขี่ แต่บังเอิญมีเงินทองมากพอที่จะซื้อหามได้

เงินทองเหล่านี้เป็นผลมาจากธุรกิจนากุ้งกุลาดำในช่วงสองสามปีมานี้โดยแท้

ธุรกิจนากุ้งนี้เปลี่ยนโฉมหน้าของระโนด จากที่เคยเป็นอำเภอที่ยากจนที่สุดอำเภอหนึ่งในภาคใต้ประชาชนมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวไม่เกิน 6,000 บาทต่อปีเมื่อสี่ปีที่แล้ว ปัจจุบันเงินจากธุรกิจนากุ้งที่หมุนเวียนอยู่ในอำเภอนี้ประมาณกันว่าสูงถึงปีละ 600 ล้านบาท เกษตรกรที่ลงทุนในอาชีพนี้มีรายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 25,000 บาท

สี่ปีที่แล้วพื้นที่สองข้างทางหลวงสายเอเชียช่วงหัวไทร-ระโนดยังเป็นที่นารกร้างว่างเปล่า เพราะทำนาไม่ได้ผล สมัยนั้นธุรกิจกุ้งกุลาดำยังเดินทางมาไม่ถึงที่นี่ คนแรกที่นำเอาเรื่องนี้เข้ามาเผยแพร่คือกานต์ คูนซ์

คูนซ์ ทำโครงการฟาร์มเลี้ยงกุ้งกุลาดำให้กับบริษัทแอควาสตาร์ บริษัทสัญชาติอเมริกันซึ่งเคยทำฟาร์มเลี้ยงกุ้งกุลาดำในฟิลิปปินส์และไต้หวันมาแล้ว เมื่อสภาพแวดล้อมของไต้หวันเสียหายจนไม่อาจเลี้ยงกุ้งต่อไปได้ จึงมองหาที่ใหม่คือประเทศไทย

ผู้ถือหุ้นรายสำคัญของแอควาสตาร์คือ ทราวอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำจากเนเธอร์แลนด์ ทราว อินเตอร์เนชั่นแนลเป็นบริษัทลูกของบีพี นิวทรีชั่น ยักษ์ใหญ่ทางด้านอาหารสัตว์ในเครือกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมัน บีพี ทราวถือหุ้น 40% ในแอควาสตาร์

คูนซ์ใช้เวลาสองปีระหว่างปี 2528-2530 ในการสำรวจพื้นที่ชายฝั่งของประเทศไทย เพื่อหาทำเลที่เหมาะที่สุด ในที่สุดเขาเลือกเอาพื้นที่ที่ระโนดซึ่งยังไม่เคยทำการเลี้ยงกุ้งมาก่อนเลย

"ผมจำได้ว่าตอนนั้นหลายคนพูดว่าที่นี่เลี้ยงกุ้งไม่ได้หรอก" คูนซ์เล่าให้ฟัง

การเลี้ยงกุ้งเท่าที่เคยมีมาในภาคใต้นั้นเป็นการเลี้ยงแบบธรรมชาติในพื้นที่ที่เป็นป่าชายเลนซึ่งมีเชื้อกุ้งและอาหารกุ้งตามธรรมชาติอยู่ พื้นที่ที่เลี้ยงกันมานานคืออำเภอปากพนังและปากแม่น้ำนคร จังหวัดนครศรีธรรมราช

คูนซ์ พูดถึงเหตุผลที่เลือกระโนดว่า "ที่ดินเรียบเป็นทีดินเหนียว ติดทะเล ความสูงจากทะเลไม่มาก ถนนดี ไฟดี ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรมรอบ ๆ น้ำสะอาด" เขาก็เลยตัดสินใจเลี้ยงกุ้งบนที่นาเป็นครั้งแรก

แอควาสตาร์เริ่มกว้านซื้อที่ดินเพื่อใช้สร้างฟาร์มเลี้ยงกุ้ง สร้างโรงงานอาหารสัตว์ และห้องเย็น สองอย่างหลังนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการขยายธุรกิจให้ครบวงจร ทั้งหมดใช้เงินประมาณ 600 ล้านบาท แต่ภาระหน้าที่เฉพาะหน้าของคูนซ์ คือการชักชวนนาเจ้าของที่ดินในแถบนั้นให้มาเป็นสมาชิกในโครงการเลี้ยงกุ้งของแอควาสตาร์ซึ่งใช้ชื่อว่า "เพื่อนร่วมพัฒนา"

ความล้มเหลวของการเลี้ยงกุ้งกุลาดำที่ไต้หวันปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้เลี้ยงที่แม่กลองและมหาชัย คือไม่มีการจัดการกับระบบสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง เมื่อเลี้ยงกันมาก ๆ เข้าของจากบ่อกุ้งที่สะสมกันอยู่ในน้ำที่นำมาเลี้ยงจึงย้อนกลับมาทำลายกุ้งในบ่อเอง

น้ำที่ใช้เลี้ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แนวคิดในการจัดการระบบการเลี้ยงกุ้งคือการนำระบบชลประทานน้ำเค็มมาใช้ ระบบชลประทานน้ำเค็มนี้จะประกอบด้วยคลองส่งน้ำที่นำน้ำทะเลเข้ามาเก็บไว้ในบ่อพักน้ำเพื่อให้น้ำปรับสภาพก่อน

จากบ่อพักน้ำจะมีระบบส่งน้ำกระจายเข้าไปตามบ่อเลี้ยงกุ้งเหมือนคลองชลประทานที่ส่งน้ำเข้าไปในนาข้าว น้ำเสียจากบ่อเลี้ยงกุ้งจะถูกสูบลงคลองน้ำทิ้ง ซึ่งแยกต่างหากจากคลองที่นำน้ำทะเลเข้ามาน้ำเสียนี้จะไหลไปรวมกันที่บ่อบำบัดน้ำเสียเพื่อปรับสภาพน้ำให้ดีขึ้นชั่นหนึ่งก่อน ก่อนที่จะปล่อยลงทะเลไป

วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะคิดได้ในขณะนี้ในการรักษาสภาพแวดล้อมเอาไว้ให้นานที่สุด แต่ระบบชลประทานน้ำเค็มนี้ต้องใช้ที่ดินจำนวนมากในการทำคลองและบ่อเก็บกักน้ำ ประมาณกันว่าต้องใช้ที่ดินประมาณเกือบ 40% ในการทำระบบชลประทานน้ำเค็มนี้ เหลือพื้นที่เลี้ยงกุ้งจริง ๆ แค่ 60%

"ปัญหาก็คือชาวบ้านซึ่งมีที่อยู่สามไร่ จะเอาที่ดินที่ไหนมาบำบัดน้ำ ถ้าขุดบ่อน้ำทิ้งเสียหนึ่งไร่ ทำคลองทำคันบ่ออีกครึ่งไร่ เหลือที่เลี้ยงได้จริง ๆ ไร่ครึ่ง มันก็ไม่คุ้ม ทำไม่ได้" ผู้เชี่ยวชาญการเลี้ยงกุ้งรายหนึ่งพูดถึงอุปสรรคในเรื่องนี้

ระบบชลประทานน้ำเค็ม จะเกิดขึ้นได้จริง ๆ ก็กับโครงการที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ ถ้าเป็นชาวบ้างรายย่อย ๆ ก็ต้องใช้วิธีรวมกลุ่มกันรวบรวมที่ดินมาจัดรูปวางระบบการเลี้ยงใหม่

โครงการเพื่อนร่วมพัฒนาของแอควาสตาร์จึงเป็นโครงการที่ชักชวนเจ้าของที่ดินที่อยากจะเลี้ยงกุ้งให้นำที่ดิน มารวมกันเพื่อจัดระบบชลประทานน้ำเค็มโดยแต่ละคนต้องสละที่ดินจำนวนหนึ่งเพื่อใช้เป็นที่ดินส่วนกลางในการสร้างระบบ

เงื่อนไขสำคัญในการเข้าร่วมโครงการคือแอควาสตาร์จะเป็นผู้ควบคุมวิธีการเลี้ยงทั้งหมด ผู้เลี้ยงในโครงการต้องใช้ลูกกุ้ง อาหารกุ้งของแอควาสตาร์และต้องขายกุ้งให้กับแอควาสตาร์เท่านั้น ส่วนรายได้จากการขายกุ้งเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วจะเป็นของผู้เลี้ยงทั้งหมด

โครงการเพื่อนร่วมพัฒนานี้ก็คือรูปแบบเกษตรกรรมแบบ contract farming นั่นเอง

แอควาสตาร์วางโครงการไว้ว่าในช่วงสองปีแรกจะทำฟาร์มสาธิตจำนวน 24 บ่อให้ชาวบ้านดูก่อนเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าทำได้ "เราสร้างฟาร์มยังไม่เสร็จเลย มีคนมาติดต่อเยอะแยะ" คูนซ์อธิบายว่าพื้นที่นาในตอนนั้นทำนาไม่ได้ผลเลย ชาวบ้านซึ่งเป็นเจ้าของที่ก็เลยอยากจะเปลี่ยนอาชีพ

แอควาสตาร์เองไม่ได้รอให้ชาวบ้านวิ่งเข้ามาหาแต่ฝ่ายเดียว แต่ใช้วิธีเข้าหาข้าราชการผู้ใหญ่เพื่อขอการสนับสนุนสร้างความสัมพันธ์กับข้าราชการ ผู้นำในท้องถิ่นและอาศัยบุคคลเหล่านี้เป็นนายหน้าออกไปรวบรวมที่ดินอีกทีหนึ่ง โดยมีแรงจูงใจคือถ้ารวบรวมที่ดินได้หนึ่งบ่อ คือประมาณ 8 ไร่จะได้ค่ารวมบ่อหนึ่งหมื่นบาท

นอกจากนั้นนายหน้าพวกนี้ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานกลุ่ม และชาวระโนดเชื่อกันว่า คนพวกนี้กินเงินเดือนจากแอควาสตาร์ในฐานะพนักงานบริษัทด้วย

สายสัมพันธ์ที่แอควาสตาร์สร้างขึ้นนี้กลับกลายมาเป็นต้นตอแห่งปัญหาในภายหลัง

ชั่วระยะเวลาไม่นานนัก แอควาสตาร์สามารถ รวบรวมที่ดินได้ถึง 2,000 กว่าไร่ คิดออกมาเป็นจำนวนบ่อได้ 310 บ่อจากเจ้าของที่ดิน 302 ราย เพราะบางรายมีมากกว่าหนึ่งบ่อ

ทั้ง 310 บ่อนี้แบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ ตามพื้นที่ได้ต่อกลุ่ม เรียกกันว่า ไซด์ (SITE) เอไปจนถึง ไซด์จี

หลักการในการรวมก็คือ แต่ละรายนั้นต้องมีที่ดิน 8 ไร่ และต้องกับพื้นที่ 21.2% หรือ 1.7 ไร่เป็นพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทำระบบสาธารณูปโภค เหลือพื้นที่บ่อเลี้ยงจริง ๆ 6.3 ไร่

พื้นที่ส่วนกลางนี้คือประเด็นหนึ่งที่เป็นข้อพิพาทระหว่างแอควาสตาร์ ซึ่งต้องการโอนพื้นที่นี้เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท และตีค่าเป็นหุ้นให้เจ้าของที่ดินเข้ามาร่วมถือหุ้นในบริษัทใหม่ แต่ว่าฝ่ายเกษตรกรไม่ยอมโอนให้

โครงการขูดบ่อเลี้ยงกุ้งนี้ ได้รับสินเชื่อในรูปเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ (SOFT LOAN) จำนวน 1,000 ล้านบาทจากธนาคารแห่งประเทศไทยผ่านทางธนาคารเอเชีย ธนาคารแห่งประเทศไทยคิดดอกเบี้ยจากธนาคารเอเชีย 3% และกำหนดให้ธนาคารเอเชียคิดดอกเบี้ยจากเกษตรกรได้ไม่เกินร้อยละ 9

เงิน 1,000 ล้านบาทนี้เป็นเงินสำหรับการขุดบ่อ รวมทั้งจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเลี้ยงกุ้ง โดยที่ 50% ของต้นทุนในการขุดบ่อแต่ละบ่อนั้นจะมาจากเงินจำนวนนี้ ที่เหลืออีกครั้งหนึ่งจะเป็นเงินกู้ของทางธนาคารเอเชียเอง

ค่าใช้จ่ายในการสร้างบ่อซึ่งเกษตรกรจะต้องทำสัญญากู้จากธนาคารเอเชียโดยตรงมีจำนวน 800,000 บาท ใช้ที่ดินที่จะมาทำบ่อจดจำนองกับธนาคาร แต่เกษตรกรจะไม่ได้รับเงินสดจากธนาคารโดยตรง เพราะธนาคารจะจ่ายให้กับแอควาสตาร์ซึ่งเป็นผู้ลงทุนในการขุดบ่อให้

แอควาสตาร์จ้างบริษัทแบคเทล อินเตอร์เนชั่นแนล จากสหรัฐอเมริกาให้ออกแบบบ่อและระบบทั้งหมด โดยมีบริษัทคริสเตียนี่แอนด์ นีลเส็น เป็นผู้ก่อสร้าง

นอกจากเงินกู้สำหรับการขุดบ่อแล้ว ยังมีเงินโอดีจำนวน 300,000 บาทเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนระหว่างการเลี้ยงซึ่งจะประกอบไปด้วยค่าครองชีพเดือนละ 2,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเกษตรกรเองในระหว่างที่ยังไม่ได้ลงมือเลี้ยง

ค่าลูกกุ้ง ค่าอาหารกุ้ง และค่าบริการสาธารณูปโภคคือค่าน้ำ ค่าไฟ ในการเลี้ยง จะมาจากเงินโอดี 300,000 บาทนี้ด้วย แต่ว่าเกษตรกรจะไม่ได้รับเป็นตัวเงินโดยตรง เพราะธนาคารจะจ่ายให้กับแอควาสตาร์ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเหล่านี้

แอควาสตาร์คิดค่าบริการน้ำไฟเป็นรายวัน ๆ ละ 365 บาทต่อบ่อ และคิดทุกวันแม้กระทั่งในช่วงการตากบ่อหลังจากจับกุ้งขายซึ่งเป็นช่วงที่ไม่ต้องใช้น้ำเลย

เงื่อนไขการชำระเงิน เกษตรกรจะเป็นผู้ชำระหลังจากการจับกุ้งแต่ละรุ่น เงินที่ได้จะต้องนำไปชำระเงินโอดีให้หมดก่อนและกันเงินอีก 50,000 บาทเอาไว้ในบัญชีโอดีเป็นค่าใช้จ่ายในงวดต่อไป

เงินที่เหลือจะเป็นกำไรสุทธิของเกษตรกรซึ่งจะต้องหักเป็นค่าเงินต้นและดอกเบี้ยของเงินกู้เพื่อการขุดบ่องวดละ 160,000 บาทหรือ 70% ของรายได้เหลือจากนี้จะเข้ากระเป๋าเกษตรกรทั้งหมด

ระยะเวลาในการชำระเงินกู้ 800,000 บาทนี้ไม่เกิน 3.5 ปี โดยชำระตามงวดการจับกุ้ง (อย่างน้อย 6 เดือนต่อหนึ่งครั้ง)

แอควาสตาร์เริ่มปล่อยกุ้งลงบ่อครั้งแรกเมื่อต้นปี 2531 จนถึงวันนี้จากตัวเลขที่เปิดเผยโดยบริษัทเองมีการจับกุ้งไปแล้ว 650 ครั้ง หลังจากหักต้นทุนในการเลี้ยงทั้งหมดและเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยแล้ว สมาชิกจะมีรายได้เฉลี่ยปีละ 300,000 บาท

"สวนใหญ่สามารถชำระเงินกู้ได้หมดภายใน 4 รุ่น จากเดิมที่คาดว่าจะต้องใช้เวลาถึง 7 รุ่น สิ้นปีนี้สมาชิกประมาณ 80% จะเคลียร์หนี้ได้หมด" คูนซ์กล่าว

คูนซ์พูดถึงแนวคิดของโครงการเพื่อนร่วมพัฒนาว่า เป็นการประสานกันระหว่างอุดมการณ์ในการพัฒนาชนบทเพื่อให้เกษตรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น กับการจัดการทางธุรกิจซึ่งจะช่วยสนับสนุนในเรื่องวิชาการเทคโนโลยีการผลิต และการจัดการทางด้านการตลาดทั้งเกษตรกรและบริษัทจะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน

"เราไม่ได้มองเกษตรกรว่าเป็นลูกจ้างที่สามารถเข้าไปสูบเลือดสูบเนื้อเพื่อกำไรสูงสุดของบริษัท แต่เกษตรกรจะต้องพัฒนาควบคู่ไปกับความสำเร็จของบริษัทด้วย" เขาเชื่อว่า วิธีการนี้เป็นการลดช่องว่างระหว่างความรวยกับความจนเป็นที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด "ประเทศไทยจะก้าวหน้า ต้องให้ความคิด อุดมการณ์แบบพัฒนาผสมกับความคิดของธุรกิจ ก็จะได้ประโยชน์สูงสุด

สองปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความมุ่งมั่นของเขาจะเป็นจริง เมื่อเกษตรกรลืมตาอ้าปากได้จากอาชีพการเลี้ยงกุ้ง มีเงินหมื่นเงินแสนที่จะถอยรถปิคอัพออกมาขับขี่กัน คนที่ไม่ได้ร่วมโครงการแต่มีที่ดินที่จะนำน้ำทะเลเข้ามาได้ ก็พลอยตามอย่างขุดบ่อเลี้ยงกุ้งกันเป็นทิวแถว สองข้างทางหลวงสายหัวไทร-ระโนดที่เคยเป็นท้องนาว่างเปล่าเต็มไปด้วยท่อพีวีซีสีฟ้าพาดผ่านกันไปมาส่งน้ำทะเลเข้าไปสู่นากุ้งที่เรียงรายอยู่เต็มเกือบทุกตารางนิ้ว

แต่ความสัมพันธ์ที่สวยงามระหว่างแอควาสตาร์กับเกษตรกรในโครงการนั้นจบลงไปแล้วในช่วงเวลาอันแสนสั้น

นับตั้งแต่ปลายปี 2533 เป็นต้นมา ความขัดแย้งระห่างแอควาสตาร์กับเกษตรผู้ร่วมโครงการได้ทวีความรุนแรงขึ้นทุกที

แผนการทางธุรกิจของแอควาสตาร์นั้นคือการทำธุรกิจกุ้งกุลาดำแบบครบวงจร คือมีทั้งฟาร์มเลี้ยงโรงงานอาหารกุ้งและห้องเย็นแปรรูปเพื่อการส่งออกซึ่งทั้งหมดนี้จะตั้งอยู่ที่อำเภอระโนด

ตามแผนการกำหนดงานแล้วโรงงานอาหารกุ้งยี่ห้อ "โปรฟีด" อยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทแอควาสตาร์ ส่วนฟาร์มเลี้ยงกุ้งเป็นความรับผิดชอบของแอควาสตาร์ ดีเวลลอปเมนต์ที่มี กานต์ คูนซ์ เป็นกรรมการผู้จัดการ

กลางปี 2532 แอควาสตาร์แตกหน่อออกไปอีกเป็นบริษัทแอควาสตาร์ฟู้ดส์ ดำเนินกิจการห้องเย็น มีกำลังการผลิตวันละ 20 ตันหรือ 7,300 ตันต่อปี

เพื่อให้มีวัตถุดิบคือกุ้ง ป้อนห้องเย็นได้อย่างต่อเนื่องเต็มตามกำลังการผลิต แอควาสตาร์จำเป็นต้องขยายบ่อเลี้ยงกุ้ง ตามแผนการแล้วจะขยายให้มีถึง 1,245 บ่อ ซึ่งหมายความว่าจะต้องลงทุนในเรื่องการขุดบ่อและระบบสาธารณูปโภคเพิ่มเติม

ปลายปี 2533 แอควาสตาร์จึงตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาชื่อแอควาฟาร์มาบริการเพื่อรับผิดชอบการก่อสร้าและให้บริการสาธารณูปโภค แอควาสตาร์ฟาร์ม มีทุนจดทะเบียน 180 ล้าน มีผู้ถือหุ้นคือ แอควาสตาร์ 40% แบคเทล อินเตอร์เนชั่นแนล 10% ที่เหลืออีก 50% มีแผนการที่จะให้เกษตกรเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้น

พร้อม ๆ กับการตั้งแอควาฟาร์ม บริการก็ได้มีการตั้งเงื่อนไขใหม่เพิ่มขึ้นสามข้อคือ 1. ขึ้นค่าบริการอีก 108.5% จากเดิม 365 บาทต่อวันเป็น 760 บาท 2. ให้เกษตรกรโอนที่ดินส่วนกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของแอควาฟาร์มบริการ และ 3. ให้เกษตรกรเข้าถือหุ้น 50% ในบริษัทนี้โดยตีราคาค่าที่ดินที่โอนเข้ามาเป็นค่าหุ้น และเกษตรกรต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกประมาณ 50,000 บาท

เงื่อนไขสามข้อนี้เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งที่ยืดเยื้อกันมานานตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันเพราะเกษตรกรไม่ยอมรับ ในขณะที่ทางแอควาก็ยื่นคำขาดมาเป็นระยะ ๆ ว่าถ้ารายใดไม่เซ็นชื่อในสัญญายอมรับเงื่อนไขทั้งสามข้อแล้ว จะตัดน้ำ ตัดไฟ ไม่ให้เลี้ยงกุ้ง

กุ้งกุลาดำนั้นถ้าไม่ได้เปลี่ยนน้ำ ไม่ได้ออกซิเจนจากเครื่องตีอากาศที่ต้องใช้กระแสไฟฟ้า ไม่ถึงวันมีหวังตายทั้งบ่อ

แอควาสตาร์ให้เหตุผลกับเงื่อนไขทั้งสามข้อว่าค่าบริการที่ขึ้นมาถึง 100 กว่าเปอร์เซ็นต์นั้น ในความเป็นจริงแล้ว ควรจะขึ้นมาตั้งนานแล้ว เพราะทางแอควาต้องแบกรับการขาดทุนจากต้นทุนตัวนี้มาตลอดระยะเวลาสองปี

ตอนเริ่มแรกเลี้ยงกุ้งนั้น แอควาสตาร์สร้างระบบดูดน้ำจากทะเลที่ต้นทุนไม่แพงนัก เพราะต้องการให้เลี้ยงได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็เริ่มก่อสร้างใหม่เป็นท่อที่วางอยู่บนเขื่อนยื่นออกไปในทะเลถึง 100 เมตรจำนวน 6 ท่อ เพื่อที่จะดูดน้ำทะเลให้ห่างจากฝั่งมากที่สุด ซึ่งมีต้นทุนที่แพงมาก แต่เพิ่งจะมาปรับค่าบริการในช่วงนี้

"เรายอมให้เขาใช้อย่างถูก ๆ มาสองปีแล้ว ตอนนี้เราเปลี่ยนใหม่หมด ต้นทุนแพงขึ้น" เจ้าหน้าที่ของแอควาสตาร์คนหนึ่งกล่าว เขาอธิบายเพิ่มเติมว่าราคาค่าบริการใหม่นี้คิดจากจำนวนบ่อในปัจจุบัน ถ้าหากขยายไปถึง 1,245 บ่อแล้วค่าบริการจะถูกลง

สำหรับเงื่อนไขที่ต้องให้เกษตรกรโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนกลางมาเข้าบริษัท และเข้ามาถือหุ้นด้วยรวม 50% นั้น ในสัญญาดำเนินการโครงการเลี้ยงกุ้งกุลาดำระหว่างแอควาสตาร์ ดีเวลลอปเม้นท์กับเกษตรกรครั้งแรกนั้น ระบุเอาไว้แล้วในข้อสามของสัญญา ซึ่งเกษตรกรอ้างว่าถูกหลอกให้เซ็น เพราะอ่านไม่รู้เรื่อง

"เราต้องการแก้ไขปัญหาการอยู่ร่วมกันด้วย" เจ้าหน้าที่แอควาสตาร์คนเดิมให้เหตุผลว่า ในกรณีเจ้าของบ่อเกิดทะเลาะกัน อาจจะเกิดการหลั่นแกล้งปิดทางเดินหรือกักน้ำเอาไว้ได้ ประเด็นนี้ทางฝ่ายเกษตรกรโต้แย้งว่าสามารถใช้วิะการขอเช่าโดยจดทะเบียน ภาระจำยอมได้ไม่จำเป็นต้องโอนกรรมสิทธิ์ซึ่งเกษตรกรจะสูญเสียที่ดินไปเลย

แอควาฟาร์มบริการจำเป็นต้องถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนนี้ก็เพราะว่าต้องการให้ที่ดินนี้เป็นทรัพย์สินของบริษัทเพื่อเป็นหลักทรัพย์ในการกู้ยืมเงินประมาณ 1,000 ล้านบาทมาก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค

แอควาฟาร์มขอกู้เงิน 50 ล้านเหรียญจากธนาคารบาร์คเล่ยของอังกฤษ ก่อนหน้านั้นมีแผนที่จะขอกู้จากธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) แต่มีปัญหาว่าเกษตรกรไม่ยินยอมโอนที่ดิน จนเลยกำหนดที่ทางเอดีบีวางเอาไว้คือภายในวันที่ 15 เมษายน จึงต้องหันไปหาบาร์คเล่ยแทน

ความขัดแย้งนี้ถูกรุมล้อม และเร่งเร้าจากความกินแหนงแคลงใจกันระหว่าง แอควาสตาร์กับกลุ่มเกษตรกรบางกลุ่มในเรื่องของผลประโยชน์จากการเลี้ยงกุ้งซึ่งมีเชื้อมาตั้งแต่กลางปี 2533

กานต์ คูนซ์ อาจจะมีประสบการณ์ในการทำงานกับเกษตรกรในภาคอีสานมาก่อน แต่เกษตรกรที่มาเลี้ยงกุ้งกุลาดำกับแอควาสตาร์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งภูมิหลังและความ
ต้องการ ที่สำคัญผลประโยชน์จากกุ้งกุลาดำนั้นเป็นเงินแสนเงินล้านเทียบกับเงินพันเงินหมื่นจากการเลี้ยงหมูหรือปลูกใบยาแล้ว เรื่องที่น่าจะคุยกันรู้เรื่องประสาเพื่อนร่วมพัฒนากลับกลายเป็นเสมือนเส้นขนานที่ไม่มีวัน่จะมาบรรจบกันได้

ทรงศักดิ์ ช่วยชูวงศ์ มีตำแหน่งเป็นนายกสมาคมประมงจังหวัดสงขลา เป็นเจ้าของโรงงานปลาป่นและเป็นผู้บริหารเท่าเทียบเรือประมงของเทศบาลสงขลา เขาเป็นคนแรก ๆ ที่เข้าร่วมโครงการเลี้ยงกุ้งของแอควาสตาร์ และก็เป็นคนแรกเช่นกันที่ถอนตัวออกจากโครงการโดยขายบ่อคืนให้กับทางแอควาสตาร์เมื่อปีที่แล้วหลังจากที่เลี้ยงมาแล้ว สองรุ่นในราคาบ่อละ 7 แสนบาท จำนวน 20 บ่อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของญาติพี่น้องรวม ๆ กันหลาย ๆ คน

"ตัวเลขมันได้แค่สี่ตันกว่าต่อหนึ่งบ่อ เนื้อที่หกไร่ เรามาเลี้ยงเองบ่อขนาดสามไร่ ได้ 6-7 ตัน" ทรงศักดิ์พูดถึงเหตุผลที่เขาขายบ่อคืนว่าเป็นเพราะผลผลิตต่ำเมื่อเทียบกับผู้เลี้ยงที่อยู่นอกโครงการ

ระบบการเลี้ยงของแอควาสตาร์นั้นจะควบคุมจำนวนลูกกุ้งไม่ให้หนาแน่นมากในแต่ละบ่อ "จะตั้งเพดานไว้ 25 ตัวต่อหนึ่งตารางเมตร ในขณะที่ข้างนอกเขาทำกัน 50-10 ตัวต่อตารางเมตร" คูนซ์ อธิบายว่าการปล่อยลูกกุ้งหนาแน่นเกินไปต้องให้อาหารมาก เศษอาหารทำให้น้ำเสียดินเสีย ขี้กุ้งก็มากตามส่วนผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะมีมาก "เราต้องการพัฒนาการเลี้ยงกุ้งแบบยั่งยืน ไม่ใช่สามสี่ปีเลิก"

แอควาสตาร์ลงทุนแบบครบวงจรทั้งโรงเพาะโรงอาหารกุ้ง ห้องเย็น และระบบสาธารณูปโภคการรักษาสภาพแวดล้อมให้เลี้ยงกันได้ในระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่คูนซ์เน้นว่าสำคัญมาก

แต่ทรงศักดิ์บอกว่าถ้าปล่อยกุ้งหนาแน่น ต้องใช้น้ำเยอะ แอควาสตาร์จะต้องสูบน้ำเพิ่มขึ้น 300% ไม่คุ้มกับราคาค่าบริการ 365 บาทต่อวัน

แอควาสตาร์จะควบคุมการปล่อยลูกกุ้งให้เป็นไปตามที่วางเอาไว้คือ 25 ตัวต่อตารางเมตร หรือสองแสนสี่หมื่นตัวต่อบ่อขนาดหกไร่ ผลผลิตจึงน้อยกว่าคนเลี้ยงที่อยู่นอกโครงการซึ่งปล่อยมากกว่า 3-4 เท่าตัว ปีแรกของการเลี้ยงยังไม่มีค่อยมีปัญหาเพราะไม่มีตัวเปรียบเทียบ แต่ปีที่สองเมื่อเริ่มมีผู้เลี้ยงกันมากเข้าโดยลงทุนกันแบบตามมีตามเกิด กลับปรากฏว่าได้ผลผลิตมากกว่าบ่อในโครงการของแอควาสตาร์จึงมีข้อสงสัยเกิดขึ้นว่าทำไมลงทุนสูงกว่าแต่กลับมีรายได้น้อยกว่า

ทรงศักดิ์ก็เลยแหกกฎของแอควาสตาร์ด้วยการปล่อยลูกกุ้งมากกว่าข้อกำหนด "รุ่นที่สองผมเคยจับได้บ่อละล้าน แต่ผมปล่อยลูกกุ้งเอง ปล่อยสามแสนสาม"

ปัญหาผลผลิตต่ำในการเลี้ยงแบบแอควาสตาร์ถูกจับโยงไปถึงเรื่องคุณภาพอาหารกุ้ง ซึ่งแอควาสตาร์บังคับให้เกษตรกรต้องใช้อาหารกุ้งยี่ห้อ "โปรฟีด" ของตนเท่านั้น "คือต้องเลี้ยงถึงหกเดือน เราเลี้ยงยี่ห้ออื่นห้าเดือนก็โตเต็มที่ มันเปรียบเทียบกันเห็นชัด" ทรงศักดิ์เล่าว่า เขาเคยทะเลาะกับทางแอควาสตาร์เรื่องคุณภาพของอาหาร ซึ่งเขาส่งตัวอย่างมาให้ห้องแล็บของกรมประมงตรวจสอบแล้วปรากฏว่าวไม่ได้คุณภาพตามที่เขียนไว้ข้างกระสอบอาหารกุ้ง โดยที่ทางแอควาสตาร์ไม่สามารถอธิบายได้

เกษตรกรหลายรายจึงแอบใช้อาหารกุ้งยี่ห้ออื่นซึ่งเป็นการผิดสัญญาที่ทำไว้แต่แรก
ความกินแหนงแคลงใจกันเรื่องที่สาม คือเรื่องราคากุ้งที่ขายให้กับห้องเย็นของแอควาสตาร์ต่ำกว่าราคาตลาด บางครั้งถึงกิโลกรัมละ 12 บาท ซึ่งทำให้รายได้ต่อบ่อหายไป 80,000-100,000 บาท

ความแตกต่างกันของราคาสืบเนื่องมาจากวิธีการจับกุ้งขึ้นมาวัดขนาดเพื่อตีราคา ซึ่งแอควาสตาร์ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแทนที่จะใช้วิธีการแบบเหวี่ยงแหซึ่งใช้ทั่ว ๆ ไป โดยอ้างว่าเพื่อให้เหมาะกับระบบห้องเย็นของตนเอง

เกษตรกรบางส่วนจึงลักลอบขายกุ้งให้กับห้องเย็นอื่น ทั้งด้วยเหตุผลว่าราคาดีกว่า และเพื่อไม่ให้แอควาสตาร์จับได้ว่าปล่อยลูกกุ้งเกินกว่ากำหนด

สำหรับทรงศักดิ์แล้วเขาได้ฉีกสัญญาที่ทำกับแอควาสตาร์ทิ้งด้วยการล่วงละเมิดข้อตกลงทั้งสามข้อนี้ก่อนที่จะขายบ่อคืนให้กับแอควาสตาร์ด้วยการกดดันกานต์ คูนซ์จนไม่มีทางเลือก

หลังจากถอนตัวออกจากโครงการแล้ว ทรงศักดิ์ได้รวบรวมเพื่อนฝูงญาติพี่น้องประมาณ 25 รายทำโครงการเลี้ยงกุ้งกุลาดำขึ้นเอง ในระบบเดียวกับแอควาสตาร์

ตัวเขาเองตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโชคถาวรกุ้งกุลาดำขึ้นมา รับออกแบบบ่อและลงทุนในเรื่องระบบน้ำระบบไฟฟ้าป้อนให้กับสมาชิกทั้ง 25 รายที่เลี้ยงกุ้งรวมกันประมาณ 60 บ่อเป็นของเขาเอง 27 บ่อ โดยคิดค่าบริการ 15 บาทต่อกุ้งหนึ่งกิโลกรัมที่จับได้ และเขายังติดต่ห้องเย็นให้มารับซื้อกุ้งโดยเขารับผิดชอบหาอุปกรณ์และสถานที่ให้ และคิดค่าป่วยการจากห้องเย็นที่มาซื้อกิโลกรัมละ 2 บาท

รวมเบ็ดเสร็จแล้วทรงศักดิ์มีรายได้จากการให้บริการ 17 บาท ต่อกุ้งหนึ่งกิโลกรัมที่มีการซื้อขายกันเขาบอกว่าทั้ง 60 บ่อมีพื้นที่เลี้ยงรวมกันราว 200 ไร่ ถ้าคำนวณจากผลผลิตต่ำสุดหนึ่งตันต่อหนึ่งไร่ ปีหนึ่งเลี้ยงได้สองครั้ง เขาจะมีรายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภคที่จดจำมาจากแอควาสตาร์ถึงปีละ 7 ล้านบาท แทนที่จะรอรายได้จากการเลี้ยงกุ้งเพียงอย่างเดียวหากยังคงเป็นสมาชิกของแอควาสตาร์

ตอนที่แยกตัวออกมาใหม่ ๆ เขาเคยมีโครงการที่จะตั้งห้องเย็นขึ้นมารับซื้อกุ้งด้วย แต่บังเอิญว่าที่ดินที่วางแผนว่าจะใช้ทำห้องเย็นนั้นอยู่ในพื้นที่ที่ทางจังหวัดสงขลาออกประกาศห้ามตั้งโรงงานอุตสาหกรรม

นอกจากนั้นทรงศักดิ์ยังเป็นเอเย่นต์ขายอาหารกุ้งให้กับซีพีถึง 4 ยี่ห้อในจำนวน 5 ยี่ห้อที่ซีพีมีอยู่ด้วย

กรณีของทรงศักดิ์คือตัวอย่างของคนที่ได้ดีเพราะแยกตัวออกมาจากโครงการ

กลุ่มเกษตรกรที่เป็นหัวหอกในการสู้กับแอควาสตาร์มาตั้งแต่ต้นนั้นคือกลุ่มจี ใช้ชื่อว่ากลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์น้ำระวะ มีสมาชิกทั้งหมด 55 ราย กลุ่มจีเป็นกลุ่มที่รวมเอาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เอาไว้มากที่สุด มีทั้งนายอำเภอปลัดอำเภอ รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด หัวหน้าสำนักงานจังหวัด เลขานุการสำนักงานจังหวัดผู้ตรวจราชการสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ครูอาจารย์มหาวิทยาลัย ข้าราชการบำนาญ และนายกเทศมนตรีเมืองสงขลา นอกนั้นเป็นพ่อค้า ข้าราชการบำนาญและผู้จัดการธนาคาร

มีสมาชิกที่ระบุสถานภาพว่าทำนาเพียง 12 คนเท่านั้น

ข้าราชการส่วนใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มนี้คือบุคคลที่กานต์ คูนซ์ วิ่งเข้าหาเมื่อครั้งมาบุกเบิกโครงการใหม่ ๆ เพื่อขอความสนับสนุนและช่วยเป็นนายหน้ารวบรวมเกษตรกรให้ หลาย ๆ คนเห็นดีด้วยกับโครงการนี้จึงขอเข้าร่วมด้วยแต่แรก บางคนมีที่ไม่ถึง 8 ไร่ ทางแอควาสตาร์ลงทุนให้ยืมเงินไปหาซื้อที่ให้ครบเพื่อจะได้ร่วมโครงการได้ และจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้คืนเงินก้อนนั้น

ภูมิหลัง การศึกษา ตำแหน่งหน้าที่ของสมาชิกในกลุ่มนี้ ทำให้มองเห็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และรู้จักที่จะหยิบยกเอามาเป็นข้อต่อรองในการเจรจา รวมไปถึงความละเอียดอ่อนในเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์

ความได้เปรียบของกลุ่มนี้คือสามารถกุมมวลชนท้องถิ่นเอาไว้ได้ รู้จักเลือกเผยแพร่ข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง แหล่งข่าวซึ่งเป็นผู้เลี้ยงกุ้งคนหนึ่งในโครงการแต่อยู่คนละกลุ่มเปิดเผยว่าเกษตรกรส่วนใหญ่อยากจะให้ปัญหานี้ยุติลงโดยเร็วโดยยอมรับเงื่อนไขของแอควาสตาร์ เพราะถึงอย่างไรการเลี้ยงกุ้งคือหนทางเดียวที่ให้ผลตอบแทนกว่าอาชีพอื่น ๆ ที่เคยทำมา ไม่ว่าจะเป็นการนำนา รับข้างหรือประมง

แต่หัวเรี่ยวหัวแรงของกลุ่มจีนั้นมีบารมีมากพอที่จะชักชวนให้กลุ่มอื่น ๆ คล้อยตามได้ คณะกรรมการกลุ่มนี้ประกอบด้วยไพบูลย์ พิชัยวงศ์อาจารย์ใหญ่โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลาเป็นประธานกลุ่ม ประโชติ เอกอุรุ นายกเทศมนตรีสงขลาเป็นรองประธาน จิต แก้วบริสุทธิ์เลขานุการสำนักงานจังหวัดเป็นเลขานุการ ธนชัย ฤทธิ์เดช นายหน้าค้าที่ดินเป็นเหรัญญิก ยงยุทธ แสงจันทร์ นายอำเภอเป็นกรรมการ และสมพรพิชญาภรณ์ อดีตศึกษาธิการอำเภอเป็นผู้จัดการกลุ่ม

คนที่มีบทบาทในการเจรจามาตลอดคือ ประโชติ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนายกเทศมนตรีตลอดกาลของเมืองสงขลา นอกจากจะเลี้ยงกุ้งในโครงการแล้วประโชติซึ่งเป็นเพื่อนรักกับทรงศักดิ์ด้วยยังมีบ่อเลี้ยงกุ้งของตัวเอง 33 บ่อ ให้ลูกเขยเป็นคนดูแล ส่วนจิตแก้วบริสุทธิ์นั้นกำลังรวบรวมสมาชิกเพื่อจะตั้งเป็นกลุ่มเลี้ยงกุ้งเช่นเดียวกัน

การเจรจาในระยะหลังนอกเหนือจากข้อขัดแย้งเดิมสามข้อคือ 1.การขึ้นค่าสาธารณูปโภค 2. การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนกลาง 3.การให้เกษตรกรเข้ามาถือหุ้นในแอควาฟาร์ม บริการข้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาคือ ให้แอควาสตาร์เปลี่ยนวิธีการจับกุ้งเป็นการใช้วิธีเหวี่ยงแหตามเดิม ซึ่งประโชติได้ประกาศในโต๊ะเจรจาว่าหากไม่ยินยอมเปลี่ยนวิธีการจับแล้ว จะขายกุ้งให้กับห้องเย็นหรือแพปลาที่ไม่ใช่ของแอควาสตาร์ โดยไม่สนใจสัญญาเดิมที่ทำไว้กับบริษัทอีกต่อไป แหล่งข่าวคนเดิมซึ่งเป็นผู้เลี้ยงกุ้งในโครงการให้ข้อสังเกตว่า ความยืดเยื้อของการเจรจานั้นด้านหนึ่งเป็นเพราะท่าทีที่แข็งกร้าวของทางฝ่ายแอควาสตาร์ที่ต้องการให้เกษตรกรยอมตามเงื่อนไขทุกข้อ อีกด้านหนึ่งนั้นเป็นการเล่นแกมกดดันให้ทางแอควาสตาร์เหลือทางออกอยู่ทางเดียวนั่นคือ ยกเลิกสัญญากับเกษตรกรที่ไม่ยอมตามเงื่อนไข ซึ่งวิธีนี้ผู้ที่จะได้ประโยชน์ คือ เกษตรกรที่มีทุนพอที่จะไปลงทุนทำระบบการเลี้ยงด้วยตัวเอง "แอควาสตาร์เข้ามาสอนวิธีการเลี้ยง การวางระบบให้แล้ว ช่วงที่ผ่านมาเขาก็เก็บเกี่ยวรายได้จากการเลี้ยงไปจนคุ้มทุนแล้ว ถ้าออกไปทำเองเขาก็เชื่อว่าทำได้และจะมีรายได้มากขึ้นด้วย เพราะจะปล่อยกุ้งเท่าไรก็ได้ จะขายให้ใครก็ได้ เขาอาจจะทำอย่างพี่ดำที่ไปลงทุนทำระบบสาธารณูปโภคให้แล้วคอยเก็บค่าบริการกิโลละ 15 บาทก็ได้" "พี่ดำ" ที่พูดถึงคือทรงศักดิ์นั่นเอง

มีสมาชิกอย่างน้อย 11 คนในกลุ่มนี้ที่ได้ทำผิดสัญญา คือปล่อยลูกกุ้งเกิน ขายกุ้งให้กับคนอื่น รายหนึ่งซึ่งอยู่ในฐานะแกนนำของกลุ่มได้รับการทาบทามจากยักษ์ใหญ่ทางด้านอาหารกุ้งรายหนึ่งให้เป็นตัวแทนจำหน่ายให้ด้วย จึงต้องการหลุดพ้นไปจากสัญญาที่ทำกันมาแต่แรก แต่ครั้นจะบอกเลิกสัญญาเองก็กลัวจะถูกฟ้อง วิธีเดียวคือต้องเล่นเกม "อึด" จนอีกฝ่ายหนึ่งหมดความอดทน

แอควาสตาร์เองก็มีภาพพจน์ที่ไม่ดีนักในเรื่องของการคอร์รัปชั่นกันภายในบริษัท จนเป็นเรื่องที่ถูกหยิบยกไปอธิบายว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีปัญหาทางการเงินจึงต้องหาทางออกด้วยการผลักภาระให้กับเกษตรกร

ตอนที่เข้าไปบุกเบิกธุรกิจกุ้งกุลาดำนั้น แอควาสตาร์ ใช้วิธีดึงเอาคนท้องถิ่นเข้ามาเป็นพนักงานของบริษัทตามนโยบายการสร้างงานในท้องถิ่น ซึ่งเป็นเงื่อนไขข้อหนึ่งที่ยื่นต่อธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อขอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ

"คนที่ได้รับแต่งตั้งให้มีตำแหน่งก็จะดึงเอาพรรคพวกของตัวเข้ามาช่วยทำงานด้วย พอทำไปสักระยะหนึ่งทำงานไม่ได้ผล ก็ต้องลาออก แต่ลูกน้องที่ตัวเองดึงมาไม่ได้ออกตามไปด้วย พอคนใหม่เข้ามาก็ดึงเอาพรรคพวกของตนเข้ามาอีก เท่ากับว่ามีคนเพิ่มขึ้นมาเป็นสองเท่าในงานปริมาณเดิม" ชาวระโนดคนหนึ่งพูดถึงปัญหาเรื่องคนของแอควาสตาร์

คนเหล่านี้ที่เดิมเป็นคนท้องถิ่น เมื่อเข้าทำงานเป็นพนักงานแอควาสตาร์ ในสายตาชาวบ้านที่มองก็คือคนของแอควาสตาร์ พฤติกรรมต่าง ๆ เช่นการคอร์รัปชั่น การไม่ดูแลเอาใจใส่แนะนำการเลี้ยงกุ้งการเอาเปรียบเกษตรกร ก็เลยมีผลต่อภาพพจน์ของแอควาสตาร์ไปด้วย

ปัญหาการคอร์รัปชั่นจะมีอยู่แทบทุกจุด ตั้งแต่การบรรทุกกุ้งจากบ่อไปส่งที่ห้องเย็น ซึ่งจะใช้รถปิคอัพขน "คนขับรถบางคนพอขับผ่านบ้านตัวเองก็จะเอากุ้งลงสัก 5 กิโล หรือไม่ก็เอาไปฝากนักร้องตามห้องอาหาร" นี่เป็นตัวอย่างที่รู้กันทั่วไป

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ตอนดึก ๆ จะมีการขโมยลูกกุ้งไปขายถูก ๆ แค่ตัวละ 4-5 สตางค์ โดยพนักงานของบริษัทเองไปจนถึงกระทั่งการขโมยอาหารกุ้งไปขายครั้งละหลาย ๆ ตันและการทุจริตของฝ่ายจัดซื้อวัตถุดิบของโรงงานอาหารกุ้ง

"ยกตัวอย่างเปลือกกุ้งป่น ส่งมาที่เรา ปรากฏว่าไม่ได้มาตรฐาน เราไม่รับ ตัวเจ้าของอุตส่าห์มาถึงโรงงาน เราบอกว่าไม่รับก็คือไม่รับ เขาบอกว่าเคยไปส่งที่แอควา เขาไม่ต้องไปเองแค่ยกโทรศัพท์ คุยกับคนที่รับผิดชอบ แล้วก็เอาเข้าไปได้เลย" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของโรงงานอาหารสัตว์ในย่านนั้นพูดถึงตัวอย่างของการจ่ายใต้โต๊ะที่มีผลไปถึงคุณภาพอาหารกุ้งที่ออกมาด้วย

เรื่องที่สำคัยคือการรู้เห็นเป็นใจกับสมาชิกที่ทำผิดสัญญาในการปล่อยลูกกุ้งเกิน และลักลอบขายกุ้งในห้องเย็นข้างนอกซึ่งทำให้บริษัทสูญเสียรายได้และทำให้สมาชิกรายที่ทำตามสัญญาทุกอย่างไม่พอใจ

ปัญหาเรื่องคนที่สำคัญที่สุดคือประสิทธิภาพของคนที่จะต้องดูแล บริหารฟาร์มเลี้ยงกุ้ง คนที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดการฟาร์มนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้จัดการฟาร์มของแอควาสตาร์คือคนที่เป็นนายหน้าช่วยหาสมาชิกมาเข้าโครงการตอนเริ่มใหม่ ๆ

ในขณะที่นักวิชาการที่จะต้องเป็นพี่เลี้ยงเกษตรกรในการเลี้ยงกุ้ง ส่วนใหญ่แล้วจะมีประสบการณ์ในเรื่องการเลี้ยงกุ้งกุลาดำน้อย ซึ่งสวนทางกับระบบการเลี้ยงที่จะต้องเชี่ยวชาญและให้ความเอาใจใส่เป็นอย่างมาก ปัญหาเรื่องคุณภาพคนตรงนี้ทำให้เกษตรกรรู้สึกว่า แอควาสตาร์ไม่สนใจติดตามช่วยเหลือหลังจากที่ชักชวนให้มาเข้าร่วมโครงการแล้วและเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้กุ้งไม่โตเต็มที่ ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร เวลาจับขึ้นมาทางห้องเย็นตีราคาให้ต่ำ ซึ่งกลายเป็นความบาดหมางกันในเรื่องราคากุ้งด้วย

ปัญหาการขาดการติดตาม ดูแลการเลี้ยงกุ้งอาหารไม่มีคุณภาพ ตีราคากุ้งให้ต่ำ ทำให้เกษตรกรมีความรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบจริง ๆ เมื่อแอควาสตาร์มาขึ้นค่าบริการ และบังคับให้เกษตรกรเซ็นสัญญาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ จึงไม่ยากที่จะวาดภาพให้แอควาสตาร์เป็นคนบาปในคราบของนักบุญที่เข้ามาสูบเลือดจากเกษตรกร

กลางปี 2533 แอควาสตาร์ปรับโครงสร้างการบริหารงานใหม่ โดยแบ่งงานออกเป็นสองสายคือ สายพัฒนามีบริษัทแอควาสตาร์ดีเวลลอปเมนต์ ทำหน้าที่ในการรวบรวมกลุ่มสมาชิกกับริษะทแอควาฟาร์มบริการ สายนี้มีกานต์ คูนซ์ดูแลอยู่

อีกสายหนึ่งคือ สายธุรกิจหรือกลุ่มพาณิชย์สัมพันธ์ ประกอบด้วยบริษัทแอควา แล็บซึ่งทำหน้าที่ค้นคว้า วิจัย บริษัท แอควาสตาร์ เพาะลูกกุ้งและผลิตอาหารกุ้ง บริษัท แอควาฟู้ดส์ เป็นโรงงานแปรรูป คนที่เป็นประธานของสายนี้คือ วินัย วามวาณิชย์

วินัยเคยเป็นกรรมการและผู้จัดการทั่วไปของบริษัท เดอะเมตัลบ๊อกซ์ ประเทศไทยซึ่งเปลี่ยนชื่อมาเป็นซีเอ็มบี แพคเกจจิ้ง เขาลาออกเมื่อเดือนมีนาคม 2532 หลังจากที่มีความขัดแย้งกับผู้บริหารคนอื่น ๆ ที่รับไม่ได้กับวิธีการบริหารงานและบุคลิกส่วนตัวของเขา

หลังจากนั้นเขาไม่ได้ทำงานที่ไหนจนถึงกลางปี 2533 เขาบินไปเนเธอร์แลนด์ไปพบกับผู้บริหารระดับสูงของทราว อินเตอร์เนชั่นแนลซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในแอควาสตาร์ จุดประสงค์ของการเดินทางไปครั้งนั้นก็เพื่อสัมภาษณ์เข้าทำงานในแอควาสตาร์

"ความจริงผมไม่จำเป็นต้องทำงานก็ได้ แต่โครงการนี้เป็นโครงการที่น่าสนใจมาก" วินัยพูดถึงสาเหตุที่เขามาทำงานกับแอควาสตาร์

หลังจากวินัยเข้าทำงานไม่นานก็มีใบปลิวออกมาจากแอควาสตาร์โจมตีวินัยว่าบีบบังคับให้คนที่อยู่มาก่อนหลาย ๆ คนต้องออกไป เพื่อที่จะเอาคนของตัวเองเข้ามาทำงานและบริหารงานผิดพลาดจนบริษัทเสียหาย

วินัยเป็นคนที่สั่งเปลี่ยนวิธีการจับกุ้งที่สร้างความไม่พอใจให้กับเกษตรกร เขาบอกว่า เพื่อให้เข้ากับกรรมวิธีการผลิตของโรงงานซึ่งออกแบบมาแล้วและวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดตามหลักการสากล

"จังหวะของเราไม่ดี ตอนที่เปลี่ยนวิธีจับกุ้งที่เราสุ่มขึ้นมาเพื่อคัดขนาดและคุณภาพมันไม่ได้มาตรฐาน วิธีนี้ใครทำก่อนก็เจ็บตัว แต่ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีใครทำ" วินัยกล่าว

เดือนตุลาคมปีเดียวกัน ทางแอควาสตาร์ก็ได้ทาบทามอัษฎางค์วัลลภ ขุมทอง เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการแอควาฟาร์ม อัษฎางค์วัลลภเคยโอนสัญชาติเป็นอเมริกัน แล้วโอนกลับมาเป็นไทยอีกครั้งหนึ่งเขาเคยทำงานกับบริษัท ซิโนทัย คอนสตรัคชั่น ก่อนที่จะมาอยู่ธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ ทำหน้าที่เข้าไปดูแลกิจการของลูกหนี้ที่มีปัญหาอย่างเช่น บริษัทเสถียรภาพและบริษัทใบยาเอเชีย จำกัด
อัษฎางค์วัลลภพเพิ่งจะมารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการแอควาฟาร์มเมื่อต้นปีนี้

คนที่สามที่เข้ามาใหม่คือ สำเรียน สุทธิวงศ์ จากบริษัท ไฟร์สโตน สำเรียนเข้ามาเป็นผู้จัดการฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลซึ่งรับผิดชอบในเรื่องคนที่เป็นปัญหาใหญ่ของแอควาสตาร์

การเข้ามาของวินัย อัษฎางค์วัลลพ และสำเรียนเป็นสัญญาการเปลี่ยนยุคของแอควาสตาร์จากยุคพัฒนาที่กานต์คูนซ์ เป็นผู้บุกเบิกสร้างฐานในการผลิตเข้าสู่ยุคธุรกิจที่ทุกสิ่งทุอย่างตัดสินกันด้วยผลประโยชน์อย่างเดียว

"ตั้งแต่วันที่เริ่มปล่อยกู้ลงบ่อจนถึงก่อนหน้าวันที่จะจับกุ้งหนึ่งวัน ผมถือว่าพวกเขาเป็นเกษตรกรแต่วันไหนที่จับกุ้ง ผมถือว่าเขาเป็นนักธุรกิจ ผมจะคุยกับเขาแบบนักธุรกิจคุยกัน" วินัยเคยเปิดเผยถึงทัศนะของเขาเช่นนี้

คนที่ตกที่นั่งลำบากคือ กานต์ คูนซ์ วิธีการ "พูดกันให้เข้าใจ" ของเขาถูกทีมผู้บริหารใหม่มองว่าเป็นการประนีประนอมมากเกินไป ทั้ง ๆ ที่ทุกคนก็รู้กันอยู่ว่าเรื่องนี้เป็นเกมของผู้นำกลุ่มเกษตรกรเพียงไม่กี่คนแต่เขาก็ถูกดันอกมาให้เผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามเพียงลำพัง เพียงเพราะว่าเป็นคนรับผิดชอบมาตั้งแต่ต้น

"เราได้ให้เวลา กานต์ คูนซ์ มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เราไม่สามารถรอต่อไปได้อีก วิธีการของคูนซ์ประนีประนอมมากเกินไป" หนึ่งในทีมงานบริหารใหม่กล่าว

คูนซ์ถูกขีดเส้นตายให้จัดการปัญหาให้เสร็จภายในวันที่ 10 เมษายน ซึ่งในที่สุดเขาก็ทำไม่ได้ วันที่ 15 เมษายน เขายื่นใบลาออก แต่ถูกยับยั้งไว้พร้อม ๆ กับถูกลดบทบาทในการเจรจาลงไปอย่างสิ้นเชิง "วิธีการของผมคงใช้ไม่ได้ผลเท่าไรนัก" คูนซ์กล่าวอย่างปลงตก หลังจากนั้นเขาก็หายหน้าหายตาไปจากระโนดเข้ามาอยู่ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพ

"คุณกานต์เหมาะกับงานบุกเบิกงานที่ต้องลงไปคลุกคลีทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ซึ่งเขาทำได้สำเร็จแล้ว แอควาสตาร์ไม่จำเป็นต้องพึ่งเขาในเรื่องนี้อีกต่อไป หมดเวลาของเขาแล้ว "ข้อสรุปของสมาชิกโครงการคนหนึ่งเช่นนี้ชัดเจนที่สุดสำหรับการจากไปของกานต์ คูนซ์

การเจรจาภายใต้การนำของ วินัย อัษฎางค์วัลลภและสำเรียนนั้นเป็นไปอย่างแข็งกร้าว ความเชื่อมั่นประการหนึ่งของพวกเขาก็คือ ทุกคนยังยอมรับว่าการเลี้ยงกุ้งได้ผลตอบแทนที่ดี เพียงแต่ว่าจะได้มากหรือได้น้อยเท่านั้น ครั้งจะไปทำเองก็ไม่มีทุนพอที่จะทำระบบสาธารณูปโภค "อย่างไรเสีย แอควาสตาร์ก็จะยังอยู่ที่ระโนดต่อไป คอยดูวิธีการของผมบ้าง" หนึ่งในทีมบริหารใหม่กล่าวแสดงความมั่นใจ

บนพื้นฐานความมั่นใจเช่นนี้ แอควาสตาร์ดำเนินกลยุทธ์ตีโต้สองแนวทาง ในขณะที่การเจรจาบนโต๊ะยังดำเนินต่อไปก็มีการส่งเจ้าหน้าที่ลงไปเคลื่อนไหวคุยกับตัวเกษตรกรโดยตรงให้ยอมเซ็นชื่อในสัญญาพร้อม ๆ กันไปด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มาประมาณ 800 กว่ารายแล้วจากจำนวนเต็มโครงการทั้งหมด 1,200 กว่าราย

สำหรับคนที่ไม่ยอมเซ็น แอควาสตาร์ใช้วิธีจัดการอย่างเด็ดขาดด้วยการตัดน้ำ ตัดไฟในทันทีนับเป็นยุทธวิธีเชือดไก่ให้ลิงดูที่ค่อนข้างได้ผล แต่ในขณะเดียวกันก็หมินเหม่ต่อความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

กลยุทธ์ของแอควาสตาร์โดยเนื้อแท้แล้วคือการกำหนดท่าทีต่อเกษตรกรอย่างจำแนก ค่อย ๆ แยกคนที่ต้องการเลี้ยงต่อไปออกจากพวกที่ ต่อต้านความแตกแยกของคนบ้านเดียวกันกำลังจะเกิดขึ้นระหว่าง 1. กลุ่มผู้เลี้ยงเก่าด้วยกันคือคนที่เซ็นสัญญากับคนทีไม่เซ็น 2. ระหว่างกลุ่มเก่าที่ไม่เซ็น กับกลุ่มที่จะเข้าร่วมโครงการใหม่แต่ยังเลี้ยงไม่ได้เพราะว่าเรื่องยังไม่ยุติเสียที

ใครจะรับผิดชอบถ้าเรื่องนี้ลุกลามขยายตัวออกไปจนตัดสินกันด้วยความรุนแรง ?

ในขณะเดียวกัน แผนการผ่าตัดระบบการบริหารภายในก็เริ่มขึ้นด้วยการไล่พนักงานออกเป็นระลอก คือ เพื่อลดค่าใช้จ่าย เพราะที่ผ่านมามีคนล้นงานมากเกินไป

แต่เหตุผลที่แท้จริงแล้ว คือ การปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ คัดเอาคนที่ไม่มีประสิทธิภาพ คนที่คอร์รัปชั่น หรือคนที่สมรู้ร่วมคิดกับการทำผิดสัญญาของเกษตรกรบางกลุ่มออกไป เพราะที่ผ่านมามีคนล้นงานมากเกินไป

การดำเนินโครงการธุรกิจการเกษตรขนาดใหญ่ที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนท้องถิ่นเป็นจำนวนมากนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนซับซ้อนกว่าธุรกิจธรรมดาทั่ว ๆ ไป ยิ่งเป็นธุรกิจการเกษตรที่มีผลประโยชน์สูงอย่างกุ้งกุลาดำแล้วคนที่จะลงมาเล่นด้วยไม่ได้มีเพียงเกษตรกรธรรมดา ๆ เท่านั้น แต่ยังแฝงไว้ด้วยเกษตรกรจำแลงอีกไม่น้อย ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีจึงเป็นเรื่องสำคัญ

แอควาสตาร์ โดย กานต์ คูนซ์ เริ่มต้นด้วยเจตนาดีที่ต้องการพัฒนาฐานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรควบคู่ไปกับเป้าหมายทางธุรกิจของบริษัท แต่ยุทธวิธีในการสร้างสายสัมพันธ์กับกลุ่มข้าราชการและผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น คือ ความผิดพลาดข้อแรกที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเองในภายหลัง

ความผิดพลาดข้อที่สอง คือ ระบบความสัมพันธ์กับเกษตรกรที่ยึดถือเอาสัญญา ลายลักษณ์อักษรเป็นแบบแผนที่ตายตัวตามสไตล์ฝรั่ง ปราศจากชั้นเชิงทางจิตวิทยาที่จะเข้ามาจัดการกับปัญหาอย่างยืดหยุ่น บทจะปล่อยปละละเลยก็ทำกันเกินขอบเขต ครั้นจะเอาจริงก็หันมาเล่นไม้แข็งขึ้นทันทีทันใด

ความผิดพลาดประการที่สาม คือ ประสิทธิภาพของคนและระบบงานภายในก็ไม่ส่งเสริมให้เกษตรกรมีศรัทธาต่อตัวเองเลยแม้แต่น้อย

เรื่องแบบนี้แอควาสตาร์ยังต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้อีกมาก และบทเรียนที่ดีที่พอจะเทียบเคียงกันได้อย่างใกล้เคียงที่สุดก็คือ ธุรกิจกุ้งกุลาดำแบบครบวงจรของซีพี

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us