เร็ว ๆ นี้จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.) แหล่งเงินทุนราคาถูกสำหรับเกษตรกร ชาวนาชาวไร่และบรรดาหัวคะแนนของอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลาย
แหล่งข่าวระดับสูงใน ธ.ก.ส. เปิดเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ตอนนี้คณะกรรมการธนาคารฯ
ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานกฤษฎีกาฯ กำลังดูถ้อยคำในตัวร่างแก้ไขพระราชบัญญัติธนาคารฯ
อยู่คาวด่าอีกไม่นานคงจะเรียบร้อยส่งให้ท่านรัฐมนตรีฯ พิจารณานำเข้าที่ประชุมสภาฯ
เพื่อขออนุมัติได้"
กล่าวกันว่าการแก้ไขพระราชบัญญัติ ธ.ก.ส.ต้องใช้เวลายาวนานมาก ฟังแล้วคล้ายเรื่องอาถรรพ์
กระทั่งตัวผู้จัดการ ธ.ก.ส.เองก็เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
หากความพยายามแก้ไข พ.ร.บ.ครั้งนี้บรรลุก็เท่ากับเป็นการล้างอาถรรพ์ได้สำเร็จ
เพราะร่างแก้ไข พ.ร.บ.นั้นผ่านรัฐมนตรีมาถึง 3 คน 3 ครั้งแต่ก็มีอันเป็นไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งเสมอ
จนมาถึงมือรัฐมนตรีคลังคนที่มาจากการแต่งตั้งครั้งนี้ - ดร.สุธี สิงห์เสน่ห์
หลายฝ่ายที่ลุ้นการแก้ไขกันมานานจึงได้โอกาสวาดฝันให้เป็นจริง
ประเดิมด้วยการเพิ่มช่องทางการหารายได้ให้ ธ.ก.ส. โดยเฉพาะในเรื่องของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
นายสุวรรณ ไตรผล ผู้จัดการธนาคารฯ ได้พยายามเสนอเรื่องนี้ต่อรัฐมนตรีว่การกระทรวงการคลังคนก่อนคือนายบรรหาร
ศิลปอาชาตั้งแต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นจังหวะที่ธนาคารพาณิชย์และธนาคารกรุงไทยร่วมกันลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทต่าง
ๆ ลงประมาณร้อยละ 0.5
ในที่สุด ธ.ก.ส.ก็ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากทุกประเภทลงได้ร้อยละ 0.5
ทำให้อัตราดอกเบี้ยฯ ของ ธ.ก.ส. เท่ากับของธนาคารกรุงไทยซึ่งต่างเป็นรัฐวิสาหกิจ
ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นหลังจากการยึดอำนาจทางการเมืองของคณะรสช. เพียงไม่กี่วัน
ในส่วนของการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้นได้มีการอนุมัติไปเรียบร้อยแล้ว
โดยผู้กู้ในวงเงินตั้งแต่ 60,000-1,000,000 บาทจะปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มอีก
2% จากปัจจุบันที่คิดอัตราดอกเบี้ย 12.5% อัตราดอกเบี้ยใหม่จะเท่ากับ 14.5%
สำหรับผู้กู้รายย่อยจะไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ย
นอกจากเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยแล้ว ยังจะมีการแก้ไขมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติฯ
คือเรื่องการขยายเพิ่มเติมวัตถุประสงค์การทำธุรกิจของธนาคารฯ ให้ครอบคลุมการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มอาชีพขนาดย่อยหรือเกษตรกรที่อยู่ในโครงการเกษตรผสมผสาน
การแก้ไขที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือในมาตรา 7 ซึ่งมีการกำหนดขนาดทุนจดทะเบียนไว้
4,000 ล้านบาท ปัจจุบันเรียกชำระไปแล้ว 3,505 ล้าบาท ทั้งนี้ได้มีการแก้ไขเพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น
10,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายที่จะขยายการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำแก่เกษตรกรได้ต่อไป
"มันเป็นเรื่องไม่มีเหตุผลเลยที่ไปจำกัดเงินทุนจดทะเบียนไว้ไม่ให้เกิน
4,000 ล้านบาท" แหล่งข่าวพูดถึงกฎหมาย ธ.ก.ส.มาตรา 7 ที่ใช้อยู่ในขณะนี้
ซึ่งเป็นข้อจำกัดการเติบโตของธนาคารฯ
แหล่งข่าวระดับสูงกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ด้วยว่า "เมื่อแก้กฎหมายสมบูรณ์แล้ว
ธ.ก.ส.จะมีบทบาทต่อเกษตรกรรายย่อยได้มากขึ้น"
ปัจจุบัน ธ.ก.ส.มีแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจากธนาคารชาติโออีซีเอฟและเงินกู้จากรัฐบาลแคนาดา
ธ.ก.ส.นำเงินเหล่านี้มาปล่อยกู้แก่เกษตรกรในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำอย่างมาก
ๆ จนกล่าวกันว่าหากกู้แล้วเอามาฝากกับ ธ.ก.ส.อีก ก็ยังได้กำไร
วงเงินสินเชื่อทั้งหมดที่ ธ.ก.ส.ปล่อยให้กู้ ณ 31 มีนาคม 2533 มีรวมทั้งสิ้น
33,600 ล้านบาท ในจำนวนนี้มีสินเชื่อรายใหญ่วงเงินตั้งแต่ 1,000,000 บาท
ขึ้นไปประมาณ 6% หรือคิดเป็น 2,016 ล้านบาทของวงเงินสินเชื่อทั้งหมด ที่เหลือเป็นผู้กู้รายย่อย
ว่ากันว่า วงเงินที่เกิน 1,000,000 บาทขึ้นไปนี้คนกู้ส่วนใหญ่ไม่ใช่เกษตรกร
แต่เป็นพวก ส.ส.นักการเมืองทั้งสิ้นเพราะดอกเบี้ยต่ำกว่าแบงก์พาณิชย์มาก
ประมาณ 3-4% และผลเช่นนี้ทำให้การจัดสรรเงินทุนในภาคเกษตรบิดเบี้ยวไปจากเป้าหมายที่กำหนดกันไว้
อย่างไรก็ดี ดูเหมือน ธ.ก.ส. จะประสบความสำเร็จอยู่บ้าง ในแง่ที่สามารถประคับประคองตัวเองให้อยู่รอดมาได้ทั้งที่ต้องเผชิญกับมรสุมการะเมืองมาทุกยุคทุกสมัย
ไหนจะต้องสนองนโยบายเฉพาะหน้าของรัฐบาลในการช่วยเหลือเกษตรกรเมื่อประสบภัยพิบัตรเป็นครั้งคราว
และเกือบต้องดำเนินตามนโยบายของพรรคการเมืองเรื่องการยืดเวลาการชำระดอกเบี้ยเงินกู้
การขยายเพดานเงินกู้แก่เกษตรกรที่กู้เต็มวงเงินแล้ว ฯลฯ
ขณะเดียวกัน ในฐานะที่เป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งไม่ได้มีจุดหมายในเรื่องการหาผลกำไร
แต่ก็ต้องบริหารตัวเองให้อยู่รอดให้ได้โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากธนาคารชาติในเรื่องการขอเพิ่มวงเงินกู้ซอฟต์โลน
ธ.ก.ส.จำเป็นที่จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารอย่างเต็มที่ เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายซึ่งเป็นที่รู้กันว่ามีต้นทุนที่แพงกว่าทุกแบงก์
แหล่งข่าวระดับสูงเปิดเผยว่าต้นทุนการดำเนินงานของ ธ.ก.ส.สูงถึง 4.86%
ขณะที่ธนาคารทั่วไปมีต้นทุนแค่ 2% เท่านั้น
"PROFIT MARGIN ของ ธ.ก.ส.อยู่ที่ 5% แต่เมื่อหักต้นทุนการดำเนินงานแล้วจะเหลือ
NET MARGIN ไม่ถึง 0.5%" แหล่งข่าวกล่าวถึงประสิทธิภาพการบริหารของ
ธ.ก.ส.
ในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของ ธ.ก.ส.ครั้งนี้ แหล่งข่าวกล่าวว่ามีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะลดต้นทุนให้ลงมาเป็น
4% โดยส่วนที่ต้องปรับปรุงคือการปรับสัดส่วนบุคลากรต่อการเพิ่มจำนวนการดูแลครัวเรือนให้มากขึ้น
ใช้ระบบว่าจ้างบุคลากรชั่วคราวในงานด้านเอกสาร เพื่อลดจำนวนเจ้าหน้าที่ในแผนกที่ไม่ใช่ธุรกิจลง
"หากลดต้นทุนลงเหลือ 4% ได้ ธ.ก.ส.อาจจะมีกำไรประมาณ 1%" แหล่งข่าวกล่าว
อย่างไรก็ดี การทำกำไรไม่ใช่เป้าหมายสำคัญของ ธ.ก.ส. สิ่งที่ควรจะเป็นคือ
ธ.ก.ส.ต้องสามารถบริหารงานเพื่อเลี้ยงตัวเองได้และสนองตอบนโยบายของรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพ
นี่คือหัวใจของการผ่าตัดครั้งสำคัญครั้งนี้