|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ทายาทเจ้าสัวซี.พี.ต่อยอดธุรกิจจากเครือข่ายเครือเจริญโภคภัณฑ์ ดัน“แมกโนเลีย”รุกตลาดอสังหาฯ เล็งผุดคอนโดมิเนียมกลางเมือง-แนวรถไฟฟ้าเกรดเอ 2โครงการรวดเดียวปลายไตรมาส 3 หลังปิดการขาย The Muse คอนโดมิเนียมโลไรส์สุขุมวิท101 และแมกโนเลียคอนโด ย่านสุวรรณภูมิ เตรียมปั้นบ้าน”ประหยัด” ลุยตลาดล่างราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 1 ล้าน- 3ล้านบาท เจาะดีมานด์กลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาด คาดเห็นโฉมหน้าปลายปี2551
นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัทลูกในกลุ่มบริษัท ดีที กรุ๊ป เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนของกลุ่มว่า ในปีนี้ทาง บริษัทมีแผนจะพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มอีก 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 700-800ล้านบาท ซึ่งได้เตรียมการทางด้านงบลงทุนประมาณ300 ล้านบาท โดยจะมุ่งเน้นไปที่ตลาดคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าและทำเลศูนย์กลางธุรกิจเป็นพิเศษ โดยอยู่ระหว่างศึกษาตลาดและทำที่แน่ชัด และกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้ามหายที่อาจจะเป็นระดับเอและหรือระดับบี คาดว่าจะเริ่มพัฒนาภายในไตรมาส 3 ของปีนี้
ในส่วนของโครงการที่พัฒนาไปก่อนหน้านี้ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยวแมกโนเลียส์และคอนโดมิเนียมโลไรส์ในย่านสนามบินสุวรรณภูมิ ขณะนี้มียอดขายแล้วกว่า 700 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการรวม 1,000 ล้านบาท แยกเป็นในส่วนของบ้านเดี่ยวมียอดขายแล้ว 15 ยูนิต จากจำนวนทั้งหมด 25 ยูนิต และส่วนของโครงการคอนโดฯซึ่งเป็นเฟสติดกับโครงการบ้านเดี่ยวแมกโนเลียส์ จำนวน 25 ยูนิต สามารถปิดการขายได้แล้ว คาดว่าจะสามารถโอนให้ลูกค้าได้ในเดือนส.ค.นี้ ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม The Muse สุขุมวิท ตรงข้ามซอย101/1 จำนวน 79 ยูนิต มีมูลค่าขาย250 ล้านบาท ขณะนี้ปิดการขายแล้ว
นอกจากนี้ บริษัทแมกโนเลียฯ กำลังศึกษาที่จะเข้าไปพัฒนาสร้างบ้านประหยัด เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางและล่าง เนื่องจากเป็นฐานของกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ที่สุด โดยบ้านดังกล่าวจะมีระดับราคาเริ่มต้นที่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท จนไปถึง 3 ล้านบาท รูปแบบอาจจะเป็นบ้านแบบชั้นเดียวหรือ2 ชั้น อยู่ในทำเลชานเมืองและมีระบบโครงข่ายการจรจรที่เข้าถึงได้สะดวก ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบและพัฒนาเทคโนโลยีการสร้างบ้านประหยัด คาดว่าภายในไตรมาส3-4 ต้นแบบบ้านตัวอย่างจะแล้วเสร็จ ซึ่งแนวโน้มที่จะเริ่มพัฒนาบ้านประหยัดออกสู่ตลาดประมาณปลายปี 2551
" สำหรับตลาดบ้านประหยัดที่บริษัทจะเข้าไปทำตลาด ไม่ได้ถือว่าเป็นเป้าใหม่หมายของบริษัท เนื่องจากเดิมที นโยบายหลักของบริษัทในช่วงเริ่มก่อตั้งบริษัทในปี2537นั้น จะพัฒนาบ้านในระดับล่างราคาถูก เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคกลุ่มล่างอยู่แล้ว แต่สาเหตุที่ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทหันไปทำบ้านระดับบน เนื่องจากสภาพแวดล้อมของตลาดไม่อำนวย เพราะปัจจัยหลายๆ ด้านอาทิ ต้นทุนการก่อสร้าง ราคาวัสดุ ค่าขนส่ง และเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ยังไม่พร้อม"นายวิสิษฐ์ กล่าว
อนึ่ง สำหรับกลุ่ม บริษัท ดีที กรุ๊ป ถือเป็นธุรกิจในตระกูลของนายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งบริษัท ดีที กรุ๊ปฯ จะมีนางสาวทิพาภรณ์ เจียรวนนท์ เป็นประธานบริหาร ลูกสาวคนเล็ก ถือหุ้นอยู่ 60% โดยโครงสร้างการทำธุรกิจของกลุ่ม จะให้บริการธุรกิจใน 3 กลุ่ม ประกอบด้วย ดีที แลนด์ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทพัฒนาด้านอสังหาฯ และการก่อสร้าง มีบริษัทย่อย 4 บริษัท คือ บริษัท แมกโนเลีย คอวลิตี้ ดีเวลลอปเมนท์ฯธุรกิจหลักพัฒนาอสังหาฯ ,บริษัท ดี แพลนส์ จำกัด ธุรกิจหลักรับเหมาก่อสร้างอาคาร, บริษัท ดีไอ ดีไซน์ จำกัด ธุรกิจออกแบบตกแต่งภายใน สถาปัตยกรรมก่อสร้าง และบริษัท ดีเพ็ก จำกัด เน้นรับงานรับเหมาก่อสร้างทุกระดับ
ส่วนกลุ่มที่2 คือกลุ่ม ดีที โกลบอล แบ่งออกเป็นมี3บริษัทย่อย ประกอบธุรกิจด้าน สินค้านำเข้าและส่งออก สำหรับกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่ม ดีที ซิเต็มส์ แอนด์ โพรเคสส์ ดำเนินธุรกิจด้านบริหารจัดการและสนับสนุนงานด้านต่างๆ ของกลุ่มบริษัท ดีที กรุ๊ป
ทั้งนี้ ทางกลุ่มดีทีฯตั้งเป้าในปี 2550 จะมีรายได้ที่ 2,500ล้านบาท จากที่ในปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 800ล้านบาท โดยรายได้กว่า 70% จะมาจากกลุ่มบริษัท แมกโนเลีย ฯ และจะมาจากกลุ่มงานรับเหมาก่อสร้างอีก 800ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากลุ่ม ดีทีโกล บอล
|
|
|
|
|