เมเจอร์ฯสยายปีก กระโดดเข้าถือหุ้นในไทยทิคเก็ตมาสเตอร์ดอทคอม 40% มูลค่า 30 ล้านบาท พร้อมปรับเปลี่ยนชื่อเป็น ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ หลังฝ่ายผู้ถือหุ้นไทยทิคเก็ตฯเปิดทางให้ หวังสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจการจำหน่ายบัตร ชี้งานคอนเสิร์ตต่างประเทศลดน้อยถอยลงเหตุหวั่นไม่ปลอดภัย
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทางกลุ่มเมเจอร์ฯได้เข้าไปเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ บริษัท ไทยทิคเก็ตมาสเตอร์ ดอทคอม จำกัด โดยเข้าไปลงทุนในสัดส่วน 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด หรือประมาณ 30 ล้านบาท ส่วนกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของไทยทิคเก็ตลดสัดส่วนหุ้นเหลือ 60% พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ จำกัด โดยมีเป้าหมายที่ต้องการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักเพื่อขยายการเติบโตให้มากขึ้น
ก่อนหน้านี้ ทางเมเจอร์ฯก็ได้เข้าร่วมทุนกับพันธมิตรธุรกิจอย่างเช่น บริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 21.7% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และบริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 36.7% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
การเข้าร่วมทุนกับไทยทิคเก็ตฯครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯสามารถขยายธุรกิจการจำหน่ายตั๋วได้มากขึ้น นอกเหนือจากตั๋วหนัง โดยผ่านประสบการณ์และศักยภาพของไทยทิคเก็ตฯที่ให้บริการจำหน่ายบัตรมากกว่า 5 ล้านใบและมากกว่า 400 งานแสดงมาแล้ว ทั้งอีเวนต์ที่จัดขึ้นเองและที่จำหน่ายบัตรอย่างเดียว โดยปีที่แล้วไทยทิคเก็ตฯมีกำไรประมาณ 40-50 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมเจอร์ฯจะเริ่มให้บริการในฐานเป็นเซอร์วิสโพรวายเดอร์ได้โดยเริ่มต้นที่สาขารัชโยธิน สยามพารากอน และดิเอสพละนาด และคาดว่าในช่วงเดือนสิงหาคมจะสามารถให้บริการได้ครอบคลุมทุกสาขา ในการเป็นจุดจำหน่ายตั๋วต่างๆ
นายไบรอัน แอล มาร์การ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยทิคเก็ตมาสเตอร์ดอทคอม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบีอีซีเทโร กล่าวว่า ทางบริษัทฯมีการเพิ่มช่องทางการจำหน่ายบัตรมากขึ้นทุกปี รวมทั้งมีการพัฒนาระบบการจำหน่ายบัตรงานแสดงจนสามารถนำไปขายยังต่างประเทศได้ และขยายสู่การจำหน่ายบัตรรถโดยสารทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันนี้ บริษัทฯมีสาขาที่เปิดให้บริการ 8 สาขา คือ บีทูเอสเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลชิดลม, เซ็นทรัลลาดพร้าว, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลบางนา, เซ็นทรัลรังสิต, เมืองไทยรัชดาลัย และบิ๊กซีหัวหมาก
นายโชคชัย เอี่ยมฤทธิไกร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลง บริษัทฯมีอัตราการเติบโต 7% โดยคาดว่าในปีนี้จะมีผลประกอบการที่เติบโต 10% โดยจะมียอดขายประมาณ 1,100 ล้านบาท หรือยอดขายตั๋วประมาณ 1.6 ล้านใบ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มียอดขายประมาณ 1,000 ล้านบาท และมียอดขายตั๋วประมาณ 1.5 ล้านใบ
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของธุรกิจการจัดคอนเสิร์ตและบิ๊กอีเวนต์ที่ผ่านมาไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้ พบว่า ตลาดรวม มีจำนวนงานที่ลดลงอย่างมาก เหลือแค่ 7-8 งานเท่านั้นเอง ขณะที่ปีที่แล้วมีมากกว่า 30 งานที่เป็นคอนเสิร์ตต่างประเทศ
“ สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดมากจากการที่ บ้านเรามีปัญหาเรื่องการลอบวางระเบิด และเหตุการณ์ระเบิดหลายจุดในภาคใต้และในกรุงเทพฯช่วงต้นปี ส่งผลให้เกิดความไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัยของผู้ที่จะมาทัวร์คอนเสิร์ต จึงทำให้ตลาดเติบโตน้อยลง ซึ่งงานที่เป็นงานใหญ่เพิ่งจบไปก็เช่น คอนเสิร์ตของอีริค แคลปตัน และคอนเสิร์ตของเรน”
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจคอนเสิร์ตหรืออีเวนต์ของไทยเองกลับมีการเติบโตที่ดี เช่น ละครเวทีเรื่องฟ้าจรดทรายของ บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ มียอดขายที่ขายไปแล้วประมาณ 100 ล้านบาท สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังนี้ งานของบริษัทฯเริ่มมีมากขึ้น โดยขณะนี้มีเฉลี่ยประมาณ 15 งานต่อเดือน ทั้งงานคอนเสิร์ตการแสดง อีเวนต์ต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น คอนเสิร์ตเองเกิลเบิร์ตเดือนสิงหาคม, การแข่งขันเทนนิสไทยแลนด์โอเพ่นเดือนกันยายน การแสดงดิสนีย์เมจิกเดือนตุลาคม คอนเสิร์ตลิงคินพาร์คเดือนพฤศจิกายน เป็นต้น ซึ่งบริษัทฯจะเน้นตลาด คอนเสิร์ต อีเวนต์ ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้หลักมากกว่า 90% และที่มาแรงในเวลานี้คือ กีฬา และที่เพิ่มเข้ามาใหม่คือ ตั๋วเดินทางของบริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บขส ซึ่งเริ่มจาก 16 เส้นทางและขณะนี้ก็สามารถที่จะขยายเส้นทางได้ครอบคลุมเส้นทางที่บขสให้บริการทั่วประเทศแล้ว
นายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานธุรกิจภาพยนตร์ เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป กล่าวว่า หลังจากร่วมทุนกับไทยทิคเก็ตฯแล้ว ทางเมเจอร์ฯก็จะยุบเมเจอร์ออนไลน์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับการให้บริการขายบัตรการแสดงต่างๆที่นอกเหนือจากตั๋วหนังของเมเจอร์ฯ ทำให้บริษัทใหม่ที่ร่วมทุนครั้งนี้เป็นผู้ครอบครองตลาดมากกว่า 90% ในตลาดการจำหน่ายบัตรต่างๆ
|