“ซีบีฯ” ระบุไตรมาสแรกครองส่วนแบ่งตลาดกว่า70% แจง5เดือนแรกมียอดขายวิลล่าผ่านมือ 250รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 3,600ล้านบาท แม้ภาวะตลาดชะลอตัว พร้อมยืนยัน การก้าวเข้าสู่ปีที่19มุ่งเน้นดำเนินธุรกิจพักอาศัยไฮเอนด์ ตลาดอาคารสำนักงาน ตลาดการลงทุน-วิจัยตลาด-ประเมินมูลค่าทรัพย์สิน-รับบริหารอาคาร และตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ
นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยว่า เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยว ที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนต่างชาติและนักท่องเที่ยว ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีแผนที่จะเปิดสาขาพัทยาและเกาะสมุยเพิ่มเติมในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้ โดยสาขาประเทศไทยนับเป็นสาขาที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ของซีบี ริชาร์ด เอลลิสในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในปีที่ผ่านมา มีจำนวนการทำธุรกรรมซื้อขายผ่านซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) มากกว่า 1,600รายการ คิดเป็นมูลค่าเกินกว่า 20,000ล้านบาท
ทั้งนี้ ธุรกิจหลักของซีบี ริชาร์ดฯยังคงเน้นตลาดที่พักอาศัยระดับบน(ไฮเอนด์) ตลาดอาคารสำนักงาน ตลาดการลงทุน การวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ การประเมินมูลค่าทรัพย์สิน และการบริหารอาคาร และตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ โดยในไตรมาสรแรกในปี 2550 บริษัทซีบีฯ มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 70% จากการเป็นตัวแทนในการเช่าพื้นที่สำนักงานทั้งหมดในกรุงเทพฯ ล่าสุด บริษัทได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนในการปล่อยเช่า คือ แอทธินี ทาวเวอร์ บนถนนวิทยุ ซึ่งมีพื้นที่สำนักงานให้เช่า 40,000 ตารางเมตร และอาคารจามจุรี สแควร์ บริเวณสามย่าน มีพื้นที่สำนักงานให้เช่า90,000 ตร.ม.
ส่วนทางด้านตลาดการลงทุน บริษัทซีบีฯ พบว่ายังคงมีนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่ต้องการลงทุนในตลาดอสังหาฯของไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ ทางบริษัทฯได้ปิดการขายอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ถึง 4 รายการประกอบด้วย โรงแรมขนาด 400 ห้องในจังหวัดภูเก็ต ที่ดินขนาด 9 ไร่บนถนนสุขุมวิท 1 แปลง และที่ดินใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินบนถนนพระราม 4 อีก 2 แปลง คิดเป็นมูลค่าการซื้อขายรวม 3,000 ล้านบาท ส่วนตลาดที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ เป็นหนึ่งในตลาดหลักที่บริษัทฯมุ่งเน้นให้บริการมาโดยตลอด และยังคงเป็นตลาดที่บริษัทให้ความ สำคัญต่อไป
“ ลูกค้าโดยส่วนใหญ่ รู้จักแบรนด์ของเรา ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการบริหารงานขายในตลาดระดับไฮเอนด์ ซึ่งเราจะยังคงพัฒนาฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ พร้อมทั้งมุ่งเน้นให้บริการในตลาดนี้ต่อไป ซึ่งเชื่อว่ายังมีลูกค้าระดับบนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอีกเป็นจำนวนมาก ที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมและวิลล่า ที่อยู่ในระดับพรีเมียมจริงๆ”
ทั้งนี้ แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ตลาดอสังหาฯในไทย จะประสบกับภาวะชะลอตัวบ้าง แต่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี50 บริษัทสามารถปิดการขายที่พักอาศัยระดับบน ซึ่งรวมถึงคอนโดมิเนียมและ วิลล่าได้แล้วมากกว่า 250รายการ คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 3,600ล้านบาท
ปัจจุบันโครงการที่พักอาศัยที่ซีบีฯได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารงานขายมีทั้งสิ้น 21 โครงการ เป็นโครงการระดับไฮเอนด์ทั้งสิ้น ตั้งอยู่ในหลายทำเลด้วยกัน ทั้งในกรุงเทพฯ , พัทยา , ภูเก็ต ,กระบี่ ,สมุย และพังงา โดยในปีนี้ โครงการที่พักอาศัยใหม่ที่บริษัทรับบริหารงานขาย ได้แก่ โครงการสุโขทัย เรสซิเดนซ์ บนถนนสาทร ,โครงการแชงกรีล่า ภูเก็ต รีสอร์ต แอนด์ สปา และโครงการล่าสุดที่เข้าไปบริหารงานขาย คือ โครงการดับเบิลยู เรสซิเดนซ์ เกาะสมุย รูปแบบวิลล่าส่วนตัวระดับพรีเมียม
“ แม้ว่าผลประกอบการในหลายภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในช่วงที่ผ่านมา จะได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง แต่ซีบีฯยังคงเชื่อมั่นในตลาดอสังหาฯของไทยจะกลับมามีแนวโน้มที่สดใส โดยเฉพาะเมื่อภาวะทางการเมืองมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้น พร้อมทั้งเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของตลาด ไม่ว่าจะเป็นในด้านปริมาณความต้องการของผู้บริโภคที่ยังคงมีอยู่มาก อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งอัตราการเข้าพักอาศัยและการเข้าใช้พื้นที่เช่าที่อยู่ในระดับสูง”
|