Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มีนาคม 2534








 
นิตยสารผู้จัดการ มีนาคม 2534
โควตาร้านยาโรคเรื้อรังที่รอรักษา             
โดย ภัชราพร ช้างแก้ว
 

 
Charts & Figures

จำนวนและสัดส่วนของเภสัชกรในภาคเอกชนต่อประชากรของประเทศ
มูลค่าการบริโภคยา
ตารางจำนวนร้านขายยา
ตารางจำนวนสถานที่ขายยา


   
www resources

โฮมเพจ กระทรวงสาธารณสุข

   
search resources

กระทรวงสาธารณสุข
Pharmaceuticals




การกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาเป็นปัญหาเรื้องรังมานานนับ 10 ปี มีการต่อสู้ระหว่างกลุ่มเภสัชกรที่ต้องการยกเลิกโควตาและสมาคมร้านขายยาที่ต้องการคงระบบโควตาไว้ ประเด็นโควตาไม่ได้เกี่ยวพันเฉพาะเรื่องการแข่งขัน และผลประโยชน์ที่จะตามมาอีกมากมายของบรรดาผู้ค้ายาเท่านั้น แต่ยังมีส่วนเชื่อมโยงไปถึงกระบวนการผลิต สิทธิบัตรยา และความซับซ้อนในกลไกการจัดจำหน่ายยา ประเด็นทั้งหลายร้อยรัดเกี่ยวโยงเป็นลูกโซ่ ปัญหาหลักส่วนหนึ่งขมวดปมอยู่ที่การบริหารงานสาธารณสุขของประเทศ ซึ่งรวมถึงระบบการกระจายยาด้วยข้อเสนอที่รุนแรงที่สุดเพื่อการแก้ไข คือ ผ่าโครงสร้างสาธารณสุขของประเทศ !!

ร้านขายยา : ใครใคร่เปิดเปิด

ย้อนหลังไปก่อนปี พ.ศ.2522 นั้นยังไม่มีการกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาเหมือนเช่นปัจจุบัน ใครใคร่เปิดร้ายขายยาก็สามารถทำได้หากมีทุนรอน และความรู้ความชำนาญมากพอ แต่ร้านขายยาโดยส่วนมากมักจะเป็นร้านที่คนจีนเป็นเจ้าของ และนี่เป็นที่มาของคำว่า "หมอตี๋" คือ เจ้าของร้านชาวจีนที่เป็นผู้หยิบยาขาย วินิจฉัยอาการไข้ และจ่ายยาตามประสบการณ์ที่สั่งสมมานานในร้านยาของตระกูล

การขายยาของหมอตี๋ไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด ทว่านับวันที่สังคมพัฒนามากขึ้น มีประชากรเพิ่มมากขึ้น โรคภัยไข้เจ็บก็เพิ่มพูนมากขึ้นด้วยนั้น "ยาฝรั่ง" หรือยานอกที่มาจากต่างประเทศทะลักเข้ามาในเมืองไทยมากขึ้น ความรู้ความสามารถของหมอตี๋ที่ถ่ายทอดสู่รุ่นลูกและหลานเริ่มไม่เพียงพอที่จะทำหน้าที่บริการสังคมอีกต่อไป

ระบบการศึกษาแบบใหม่จัดการเรียนการสอนวิชาความรู้เรื่องยาทั้งปวงไว้ในคณะเภสัชศาสตร์ ปัจจุบันมีมหาวิทยาลัยของรัฐ 6 แห่ง เปิดสอนวิชาเภสัชศาสตร์ คือ จุฬาลงกรณ์ มหิดล ขอนแก่น เชียงใหม่ สงขลานครินทร์ และศิลปากร มีมหาวิทยาลัยเอกชนเพียงแห่งเดียวที่เปิดคณะเภสัชฯ คือ รังสิต

บรรดาลูกหลานร้านขายยาต่างมุ่งหน้าเข้าเรียนวิชายาแบบใหม่ เพื่อที่จะได้นำมาใช้ในการบริการผู้ป่วยและบริหารธุรกิจร้านยาของครอบครัวต่อไป แต่ระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยปิดของรัฐไม่ได้เปิดโอกาสให้ใครใคร่เรียนแล้วจะได้เรียนทุกคนไป แม้ผู้ที่ได้เข้าไปเรียนแล้ว ก็มีที่ไม่สำเร็จจำนวนมาก ดังนั้นจำนวนเภสัชกรที่สำเร็จการศึกษาในระบบสมัยใหม่จึงมีไม่มากนัก

ปีหนึ่ง ๆ มหาวิทยาลัย 6 แห่ง สามารถผลิตบัณฑิตเภสัชศาสตร์ได้ประมาณ 450-500 คน ปัจจุบันมีจำนวนเภสัชกรทั่วประเทศ (เมื่อ 1 พฤษภาคม 2533) โดยนบจากจำนวนเลขที่ในใบประกอบโรคศิลป์เท่ากับ 7,785 คน แต่จำนวนเภสัชกรที่ประกอบวิชาชีพจริงมี 6,913 คน (ส่วนที่หายไปเป็นผู้ที่ล้มหายตายจากหรือไปประกอบอาชีพอื่น ตัวเลขนี้ได้มาจากกลุ่มศึกษาปัญหายา) โดย 56% ของเภสัชกรเหล่านี้ประจำอยู่ตามร้าน ขย.1 หรือคิดเป็น 3,70 คน ส่วนที่เหลือ 4% หรือ 2,912 คนไปทำอย่างอื่น

ขณะที่มีเภสัชกร 3,701 คนทั่วประเทศที่ประจำตามร้าน ขย.1 แต่จำนวนประชากรนั้นมีมากถึง 50-60 ล้านคนเมื่อคำนวณสัดส่วนของเภสัชกรต่อประชากรทั่วประเทศ จะพบตัวเลขที่น่าตกใจพอสมควร

ในเขตกรุงเทพมหานคร มีเภสัชกร 1 คนต่อประชากร 3,317 คน ในต่างจังหวัดตัวเลขเพิ่มเป็น 1 : 28,741 คน และตัวเลขทั่วประเทศเท่ากับ 1 : 15,223 คน (ดูตารางจำนวนและสัดส่วนของเภสัชกรในภาคเอกชนต่อประชากรของประเทศ)

เป็นตัวเลขที่ห่างไกลมากเมื่อเทียบเคียงกับในสหรัฐฯ ที่มีเภสัชกรต่อประชากรเท่ากับ 1 : 1,497 คน เมื่อคิดเภสัชกรในร้าย ขย.1 ต่อประชากรจะเท่ากับ 1 : 2,138 คน โดยคำนวณจากเภสัชกรทั่วประเทศสหรัฐฯ 166,247 คน และจำนวนประชากรสหรัฐฯ 248,800,000 คน

ความขาดแคลนเภสัชกรต่อประชากรสามารถแก้ไขด้วยการผลิตเภสัชกรเพิ่มขึ้น ขณะที่ในอีกทางหนึ่ง คือ การแก้ไขการบริหารงานสาธารณสุขทั่วประเทศ โดยเฉพาะระบบการกระจายยาในภาคเอกชน

แม้ว่าลูกหลานของร้านขายยาส่วนหนึ่งจะได้เข้ามาสู่ระบบการศึกษาแบบใหม่ มีความรู้ความสามารถในวิชาชีพเพียงพอที่จะไปควบคุมงานบริการยาตามร้านขายยาแล้วก็ตาม แต่ปรากฏว่าเภสัชกรที่ไปประจำตามร้าน ขย.1 มีเพียง 56% เทียบกับในสหรัฐฯ มีเภสัชกรประจำร้าน ขย.1 ประมาณ 70% ของเภสัชกรทั่วประเทศ

การที่มีเภสัชกรอยู่ประจำร้าน ขย.1 ไม่มากเท่าที่ควรเพราะโดยส่วนมาก เภสัชกรไม่ได้เป็นเจ้าของร้านยานั้น ๆ ด้วยตนเอง แต่เป็นลักษณะที่ว่ารับจ้างมาประจำร้านและได้รับเงินเดือนไปมากกว่า

นี่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเรื่อง "เภสัชกรแขวนป้าย" กันเป็นจำนวนมาก

คือ ตัวเภสัชกรไม่ได้อยู่ประจำร้านตลอดเวลาเปิดทำการ แต่มีชื่อและใบอนุญาตติดอยู่ ส่วนตัวนั้นอาจจะไปทำการงานที่บริษัทยาอื่น ๆ แล้วแวะเวียนมาดูร้านยานั้นบ้างเป็นครั้งคราว

สนนราคาของการแขวนป้ายในกรุงเทพฯ ประมาณ 3,000 -8,000 บาท/เดือน ส่วนในต่างจังหวัดก็ลดหลั่นมาเหลือ 2,000-3,000 บาท/เดือน

ร้านยาประเภท ขย.1 มี 3,697 ร้านทั่วประเทศ กลุ่ม กศย. สำรวจพบว่า มีเภสัชกรแขวนป้ายอยู่ประมาณ 1,000 กว่าร้าน

เป็นตัวเลขรวมของร้านยาที่ไม่ได้มีลูกหลานเป็นเภสัชกร และร้านยาที่เจ้าของไม่ได้เป็นเภสัชกร ซึ่งจำเป็นต้องจ้างเภสัชกรมาทำงานตามกฎหมาย

เภสัชกรเหล่านี้ก็ไม่มีทางเลือกที่จะไปเปิดร้านยาของตนเองเพระาติดปัญหาเรื่องโควตา ในส่วนของมหาวิทยาลัยเองนั้นก็เริ่มที่จะผลิตเภสัชกรได้เพิ่มมากขึ้น โดยทบวงมหาวิทยาลัยมีการคาดหมายว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะสามารถผลิตเภสัชกรเพิ่มขึ้นเป็น 10,000 คน โดยมีเป้าหมายว่าจะทำให้สัดส่วนของเภสัชกรต่อประชากรของประเทศลดลงเหลือ 1 : 5,200 คน

นั่นหมายความว่า เมื่อมีเภสัชกรมากขึ้นแล้ว ความต้องการที่จะเปิดร้านขายยาเพิ่มมากขึ้นก็มีตามมา

แม้กระทั่งปัจจุบันที่มีการเอาระบบเภสัชกรใช้ทุนมาใช้ คือ ระบบที่เภสัชกรต้องทำงานใช้ทุนตามโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศเป็นเวลา 2 ปีหลังจากใช้เวลาศึกษามา 5 ปีเต็มซึ่งเป็นระบบเดียวกับระบบการศึกษาของแพทย์ เภสัชกรเหล่านี้ก็มีความต้องการที่จะเปิดร้านยาในท้องถิ่นที่ตนไปใช้ทุนอยู่

ปัญหาคือ พวกเขาติดขัดเรื่องการกำหนดจำนวนร้านขายยาตามประกาศปี 2524

สำลี ใจดี อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นนักวิชาการในงานสาธารณสุขเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคในองค์กรเอกชนหลายแห่ง รวมทั้งในกลุ่มศึกษาปัญหายา (กศย.) กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "บรรดาเภสัชกรคู่สัญญาเหล่านี้เรียกร้องอยากให้ยกเลิกโควตาเพราะมีคนจำนวนหนึ่งที่อยากกลับไปเปิดร้านที่บ้าน หลังจากที่ทำงานในโรงพยาบาลแล้วก็จะได้เปิดร้านช่วงเย็นได้ ซึ่งมันจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้พวกเขา และเป็นช่องทางตั้งหลักปักฐานในชนบท และเราก็จะได้กระจายเภสัชกรไปอยู่ต่างจังหวัดได้ในทางอ้อมด้วย"

เภสัชกรคู่สัญญาที่ปรารถนาจะตั้งร้านยาของตัวในชนบทมีจำนวนเท่าไหร่ไม่ปรากฏตัวเลขแน่ชัด แต่การให้สิทธิพวกเขาในการเลือกที่จะเปิดร้านหรือไม่เปิดร้านเช่นเดียวกับวิชาชีพแพทย์ก็เป็นสิ่งที่น่าจะกระทำ

เมื่อใดก็ตามที่เภสัชกรคู่สัญญาสนใจจะเปิดร้านยาก็เป็นที่คาดหวังได้ว่า ประชาชนในละแวกนั้นจะได้รับการบริการที่มีคุณภาพและความรู้มากกว่าการบริการจากร้านหมอตี๋ และร้านขายของชำที่ลักลอบวางขายยาบางประเภทอย่างแน่นอน

คนในวงการสาธารณสุขหลายคนให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการ" ว่า หากมีการกำหนดโควตาร้านยาก็ควรกำหนดโควตาคลินิกแพทย์ และทันตแพทย์ซึ่งต่างให้การบริการเพื่อสุขอนามัยของประชาชนเหมือนกันด้วย ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมในวิชาชีพ

เหตุที่ "ผู้จัดการ" กล่าวเรื่องการบริการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการของเภสัชกรประจำร้านยา เพราะนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการมีสุขภาพดีอนามัยดีของประชาชนไทย

นักวิจัยผู้คร่ำหวอดในวงการสาธารณสุขไทย กล่าวว่า "เป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่ได้พบว่า คนไทยบริโภคยาเยอะ แต่สุขภาพกลับทรุดโทรมแย่ลง" (ดูตารางมูลค่าการบริโภคยา)

ทั้งนี้ กศย. ทำการวิจัย พบว่า มูลค่าการบริโภคยาของคนไทย ทั้งแผนปัจจุบัน และแผนโบราณ เมื่อปี 2531 คิดเป็น 51,292 ล้านบาท จากยาที่วางขาย 33,000 ตำรับ ในจำนวนนี้เป็นการบริโภคเพื่อแก้ปัญหาโรคภัยไข้เจ็บอย่างแท้จริงเพียง 1 ใน 3

อีก 2 ใน 3 เป็นการใช้ยาอย่างฟุ่มเฟือยเกินจำเป็นครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็นการใช้ยาที่ทำให้เกิดโรคตามมา รวมทั้งการใช้เพราะเกิดอาการติดยา

ทางด้านสมาคมผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์ (PPA) ได้คำนวณตัวเลขค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าและบริการต่าง ๆ เฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือน พบว่า ค่าใช้จ่ายการตรวจรักษาและค่ายาเมื่อปี 2529 ประมาณครัวเรือนละ 134 บาท/เดือน หรือคิดเป็นคนละ 187.2 บาท/ปี (คำนวณจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนปี 2529)

องค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า ในปี 2529 คนไทยบริโภคยาคนละ 4.8 เหรียญสหรัฐ/ปี เทียบกับตัวเลขเฉลี่ยของประเทศกำลังพัฒนา 5.4 เหรียญสหรัฐ/ปี (ตัวเลขจาก THE WORLD DRUG DEVELOPMENT, WHO 1988)

ตัวเลขนี้แม้จะไม่สูงมาก แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าในบรรดารายการสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่คนไทยจ่ายสตางค์ซื้อหามาใช้สอยนั้น รายการตรวจรักษาและค่ายาอยู่ในอันดับต้น ๆ

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าคนไทยจ่ายค่ายาสูง แต่อยู่ที่ว่าคุณภาพของยา และบริการทางการแพทย์ที่ได้รับนั้นดีเพียงใด คุ้มหรือไม่ หรือฟุ่มเฟือยเกินกว่าจำเป็น

ประเด็นนี้ย้อนกลับมาสู่เรื่องการบริหารงานสาธารณสุขของประเทศ รัฐจะมีวิธีการควบคุมดูแลการบริการด้านสาธารณสุขอย่างไร ประชาชนจึงจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ คือ ไม่ต้องซื้อยาแพง ไม่ต้องกินยาที่ไม่จำเป็นในการเยียวยารักษา มีความรู้พื้นฐานในเรื่องยา และการรักษาโรคสามัญ ฯลฯ

การเมืองเรื่องโควตาร้านยา

พรรคการเมืองที่เข้ามาบริหารงานสาธารณสุขที่ผ่านมา กล่าวกันว่า ไม่มีพรรคใดให้ความสนใจงานสุขอนามัยของประชาชนมากเท่าพรรคประชาธิปัตย์ ความสนใจนั้นไม่แน่ว่าจะมาจากเหตุผลทางการเมืองและความสลับซับซ้อนในเชิงผลประโยชน์ทางธุรกิจประการใด แต่ผลงานสำคัญที่พรรคประชาธิปัตย์ทิ้งไว้ให้เป็นปัญหาสำคัญในแวดวงผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมซึ่งยากที่เภสัชกรรายใดจะลืมเลือน คือ เรื่องการประกาศโควตาร้านขายยา

มันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความบาดหมางในวงการโดยไม่จำเป็น อีกทั้งเป็นการใช้โอกาสและอำนาจทางการเมืองเพื่อปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ทางธุรกิจของคนเฉพาะกลุ่ม

การกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาเริ่มขึ้นในปี พ.ศ.2522 ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ 3) โดยเพิ่มมาตรา 77 ทวิ ที่ให้รัฐมนตรี โดยคำแนะนำของคณะกรรมการยา มีอำนาจกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาที่จะอนุญาตให้ตั้งในท้องท่ใดท้องที่หนึ่งได้โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

19 กรกฎาคม 2524 นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในเวลานั้น ได้ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 98 ตอนที่ 129 วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2524 ให้มีการกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาในกรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ กำหนดให้จำนวนสถานที่ขายยาแผนปัจจุบัน (ขย.) มีจำนวน 2,140 ร้าน สถานที่ขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษ (ขย.2) มีจำนวน 1,510 ร้าน (ดูตารางจำนวนร้านขายยา)

นับแต่นั้นมา การเปิดร้านขายาถูกคุมกำเนิดโดยทันที !

สถิติล่าสุดของร้านขายยาทั่วราชอาณาจักร จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เมื่อปี 2532 ขย.1 ในกรุงเทพฯ มี 1,954 ร้าน ในภูมิภาคมี 1,743 ร้าน รวมทั่วประเทศมี 3,697 ร้าน (ดูตารางจำนวนสถานที่ขายยา)

ส่วนร้านประเภท ขย.2 ในกรุงเทพฯ มี 916 ร้าน ขณะที่ในต่างจังหวัดมีมากถึง 4,644 ร้าน รวมทั่วประเทศมี 5,560 ร้าน

เมื่อรวมร้านขายยาแผนปัจจุบันทั่วประเทศ (ขย.1 + ขย.2) มีทั้งสิ้น 9,257 ร้าน

ที่น่าสังเกต คือ ร้านประเภท ขย.2 ในต่างจังหวัดมีมาก เพราะกระทรวงสาธารณสุขออกประกาศอนุญาตให้แพทย์หรือพยาบาลหรือผดุงครรภ์คุมร้านได้ โดยให้ขายยาจำกัดจำนวน คือ เฉพาะยาบรรจุเสร็จ แต่เมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนกฎฯ นี้ โดยให้เจ้าของร้านที่อ่านออกเขียนได้ไปทำการอบรมตามหลักสูตรของกระทรวงฯ เป็นเวลา 30 วันทำการ เมื่ออบรมได้ใบประกาศเรียบร้อยก็สามารถควบคุมร้าน ขย.2 ได้โดยไม่ต้องใช้เภสัชกรอีกต่อไป

ทั้งนี้ การจัดอบรมผู้ปฏิบัติงานร้านขายยาเป็นประเด็นที่กลุ่มคุ้มครองผู้บริโภค กศย. คัดค้านมาตลอด เพราะถือว่าไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาการบริการอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการของหมอตี๋ตามร้านขายยาที่ไม่มีเภสัชกรประจำได้จริง กลับเป็นการสนับสนุนส่งเสริมให้ เจ้าของร้านขายยาที่ไม่ได้เป็นเภสัชกรสบช่องที่จะจ้างคนงานที่ไม่ได้จบการศึกษาเภสัชศาสตร์โดยตรงมาทำการอบรมเพิ่มมากขึ้น

สำลี ให้ความเห็นว่า "ร้านยาควรจะเป็นสถานพยาบาลด้วย ไม่ใช่เป็นที่ขายของแต่อย่างเดียว อยากจะให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคในลักษณะที่ว่าผู้ประกอบวิชาชีพต้องให้คำแนะนำที่ถูกต้องตามหลักวิชาการแก่ผู้บริโภคด้วย ไม่ใช่แค่ขายยาอย่างเดียว"

อันที่จริง การจัดอบรมผู้ปฏิบัติงานร้านขายยามีวัตถุประสงค์ที่จะแก้ปัญหาการขาดแคลนเภสัชกรร้านขายยา และเป็นการช่วยเหลือเจ้าของร้านขายยาที่เปิดดำเนินการอยู่แล้วโดยเฉพาะในร้าน ขย.2

แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถทำได้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ และการจัดอบรมนี้ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ส่วนการคัดค้านเรื่องโควตาร้านยาก็ยังคงมีอยู่ตลอดเวลา คณะกรรมการยา กระทรวงสาธารณสุข (ดูตารางรายชื่อคณะกรรมการยา) ได้นำเรื่องการกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาเข้าประชุมหลายครั้งหลายหน จนในที่สุดคณะกรรมการยาได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาจำนวนสถานที่ขายยา โดยมีนางปรียา เกษมสันต์ ณ อยุธยา อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เป็นประธาน มีกรรมการรวม 17 คนเมื่อสิงหาคม 2532

คณะทำงานชุดนี้มีทั้งบุคคลในฝ่ายรัฐบาลและเอกชน โดยเฉพาะมีนายกสมาคมร้านขายยาและประธานชมรมร้านขายยาแห่งประเทศไทยร่วมอยู่ด้วย สมาคมร้านขายยานั้นเป็นผู้คัดค้านการยกเลิกโควตาอย่างถึงที่สุด

คณะทำงานประชุมพิจารณาเรื่องนี้ถึง 2 ครั้งในที่สุดได้สรุปปัญหาที่เกิดจากการกำหนดโควตาดังนั้น

- หลังจากที่ใช้ประกาศกำหนดจำนวนสถานที่ขายยามาเป็นเวลา 8 ปีแล้วนั้น ปัจจุบันสถาบันการศึกษาสามารถผลิตเภสัชกรได้มากขึ้น ทำให้ปัญหาการขาดแคลนเภสัชกรประจำร้านยาลดน้อยลงไป ประเด็นนี้จึงไม่ใช่เหตุผลของการกำหนดโควตาร้านยาอีกต่อไป

- การมีโควตาร้านยาทำให้เภสัชกรคู่สัญญาที่ใช้ทุนอยู่ตามต่างจังหวัดไม่สามารถเปิดร้านตนเองได้หลังเวลาราชการได้

- ปัจจุบันมีแหล่งชุมชนใหม่เกิดขึ้นมาก มีประชากรเพิ่มและกระทรวงมหาดไทยประกาศแบ่งเขตการปกครองอยู่ตลอดเวลา เช่น เพิ่มเขตจตุจักร ลาดพร้าว ดอนเมือง บึงกุ่ม ซึ่งแบ่งส่วนการปกครองมาจากเขตบางเขนและบางกะปิ ทำให้การกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาอย่างตายตัวเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องอีกต่อไป

- มีการซื้อขายใบอนุญาตขายยาในราคาที่สูงมาก มีการประกาศเซ้งหรือขายในหน้าหนังสือพิมพ์ กระทั่งในวารสารของสมาคมร้านขายยาเองก็มีการประกาศขายใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบันบรรจุเสร็จฯ (ขย.1) เขตสามเสนใน พญาไท ดินแดง ราคาสูงถึง 200,000-400,000 บาท

- มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติกระทำมิชอบในการนำเสนอผู้อนุญาตเพื่อออกใบอนุญาตขายยา เช่น ที่จังหวัดเชียงใหม่ เภสัชกรได้ยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กรณีไม่อนุญาตให้เปิดร้านขายยาแผนปัจจุบัน

- มีผู้รอยื่นคำร้องขออนุญาตเปิดร้านขายยาแผนปัจจุบันทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดประมาณ 300 ราย

- มีการขายยาอันตรายหรือยาควบคุมพิเศษตลอดจนวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในร้านประเภท ขย.2 กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากในการควบคุมและก่อให้เกิดปัญหาการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง เป็นสาเหตุให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายถึงชีวิตได้

คณะทำงานมีมติเห็นสมควรยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องกำหนดจำนวนสถานที่ขายยา (ทุกจังหวัด) โดยในที่ประชุมให้ยกเลิกประกาศนี้อย่างไม่มีเงื่อนไข 13 เสียง อีก 3 เสียงให้ยกเลิกอย่างมีเงื่อนไข คือ ให้เริ่มใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2534 ส่วนอีก 1 เสียงไม่ออกเสียง

ประชา เอมอมร เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ซึ่งสนับสนุนเรื่องการยกเลิกโควตาร้านยาแบบมีเงื่อนไข ให้ความเห็นว่า "สิ่งที่กลัว คือ เรื่องการกระจุกตัวของร้านยาในชุมชนหนาแน่น โดยเฉพาะในเขตต่างจังหวัด ซึ่ง อย. คงจะต้องขอความร่วมมือจากสาธารณสุขจังหวัดที่เป็นผู้ควบคุมให้ใบอนุญาต"

เลขานุการคณะทำงานนำมตินี้เสนอต่อนายมารุต บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เมื่อมกราคม 2533 และรัฐมนตรีมอบหมายเรื่องให้คณะที่ปรึกษาฯ ฝ่ายนโยบาย ซึ่งมีนายเทอดพงษ์ ไชยนันท์ เป็นประธานฯ

เดือนมิถุนายน 2533 เทอดพงษ์นำเสนอความเห็นหลังจากที่คณะที่ปรึกษาฯ มีการประชุมพิจารณาเรื่องนี้ร่วมกัน 8 ครั้งว่า ไม่ควรยกเลิกประกาศกระทรวงฯ ตามมติของคณะกรรมการยา

เหตุผลสำคัญ คือ กระทรวงสาธารณสุขมีเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในด้านนี้จำนวนจำกัด หากมีการเปิดสถานที่ขายยาโดยเสรีก็จะทำให้กำลังคนที่มีอยู่จำนวนน้อยดูแลควบคุมได้ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในด้านคุณภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค

ภาวะการแขงขันโดยเสรีอาจบีบคั้นให้ผู้ประกอบการบางรายจำเป็นต้องจำหน่ายยาคุณภาพต่ำ ยาปลอม ยาหมดอายุ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ตนมากกว่าผลประโยชน์และความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาการควบคุมแก่ทางการ

การเปิดร้านยาโดยเสรีจะทำให้เกิดการกระจุกตัวในพื้นที่ที่มีร้านขายยามากอยู่แล้ว การกระจายร้านขายยาหรือเภสัชกรไปสู่แหล่งที่ยังขาดแคลนมีความเป็นไปได้ยาก

นโยบายการกระจายเภสัชกรไปสู่ชนบทตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับเภสัชกรใช้ทุนในปัจจุบันได้ดำเนินการอยู่แล้ว เภสัชกรมีข้อผูกพันที่จะต้องออกไปปฏิบัติงานที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป หรือโรงพยาบาลชุมชนเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งคาดหมายว่า ระหว่างปี 2532-2536 จะมีเภสัชกรประมาณ 1,800-1,900 คนที่ออกไปปฏิบัติงานตามสถานบริการในภูมิภาค

ดังนั้น จึงควรมีการกำหนดสถานที่ขายยาที่เหมาะสมในชนบทเพื่อรองรับเภสัชกรใช้ทุนเหล่านี้ให้ได้มีโอกาสปฏิบัติงานได้นอกเวลาราชการ

คณะที่ปรึกษาฯ โดยเทอดพงษ์เสนอปรับหลักเกณฑ์การกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาใหม่ โดยให้เปิดร้านขายยาประเภท ขย.1 ได้เพิ่ม 1 ร้านสำหรับอำเภอและกิ่งอำเภอซึ่งมีประชากรน้อยกว่า 20,000 คน (เมื่อคำนวณแล้วจะเปิด ขย.1 เพิ่มได้อีก 1,519 ร้านทั่วประเทศ) และเปิดร้านขายยาประเภท ขย.2 ได้อีกอำเภอละ 1 ร้านในอำเภอที่ยังไม่มีร้านขายยาประเภทนี้ตั้งอยู่ (คำนวณแล้วเปิดเพิ่มได้อีก 76 ร้าน)

ข้อเสนอของคณะที่ปรึกษาฯ ถูกคณะทำงานฯ ที่แต่งตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการยาโต้แย้งกลับหมดทุกข้อ และในที่สุดได้มีข้อเสนอขึ้นใหม่ 2 ข้อ คือ

ยืนยันให้มีการยกเลิกการกำหนดจำนวนสถานที่ขายยา เพื่อให้เภสัชกรได้ประกอบวิชาชีพอิสระตามสิทธิอันชอบธรรม เช่นเดียวกับวิชาชีพอื่น ๆ และเพื่อให้การบริการด้านยาที่มีคุณภาพแก่ประชาชนผู้บริโภค

หากกระทรวงฯ ไม่สามารถยกเลิกประกาศเรื่องกำหนดจำนวนสถานที่ขายยาได้ในทันที ขอให้ปรับปรุงจำนวนสถานที่ขายยาใหม่โดยเพิ่มจำนวนร้านขายยาในทุกพื้นที่ในอัตราประชากร 5,200 คนต่อร้านขายยา 1 ร้าน ซึ่งเป็นเกณฑ์ตามมติคณะรัฐมนตรีที่จะให้มีเภสัชกร 1 คนต่อประชากร 5,200 คนในปี พ.ศ.2534

ข้อเสนอนี้จัดทำขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2533 แต่คณะกรรมการยายังไม่ได้ลงมติ

ครั้นกุมภาพันธ์ 2534 คณะกรรมการยาลงมติเช่นเดิม คือ ให้ยกเลิกการกำหนดจำนวนสถานที่ขายยา และนำเสนอมตินี้ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายปิยะณัฐ วัชราภรณ์ ซึ่งเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรคนแรกของพรรคเอกภาพที่เข้ามาดำรงตำแหน่งในคณะรัฐบาลชาติชาย 4

ขณะนั้นวิศาล จันทรพิทักษ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังธรรม เขต 1 ซึ่งเดิมประกอบวิชาชีพเภสัชกรได้ทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมแนบเอกสารเพื่อพิจารณายกเลิกโควตาด้วย

จังหวะเดียวกันก็มีการเคลื่อนไหวจากกลุ่มต่าง ๆ ทั้งในส่วนที่เห็นด้วยและคัดค้าน

กลุ่มคัดค้านเพียงกลุ่มเดียวและเป็นกลุ่มที่มีพลังมากที่สุด คือ สมาคมร้านขายยา

พิเชษฐ์ เวชจตุพร นายกสมาคมร้านขายยา (2533-2534) และเป็นเจ้าของร้านยาเก่าแก่ที่เปิดดำเนินการมา 27 ปีแล้ว ชื่อ "ราชวิถีเภสัช" กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "สมาคมฯ มีแนวคิดว่าการยกเลิกโควตาเป็นผลเสียแก่ทั้งระบบ และเป็นสิ่งที่ไม่ตรงกับหลักการที่รองรับไว้ในกฎหมาย เพราะกฎหมายไม่ได้บังคับว่าเภสัชกรต้องเป็นเจ้าของร้านขายยาด้วย"

ในสาส์นสมาคมร้านขายยาเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2534 แสดงเหตุผลหลักในการคัดค้านเรื่องยกเลิกโควตาว่า "…จะทำให้เกิดการแข่งขันที่เข้มข้นจนมีแต่แนวโน้มที่จะต้องดิ้นเอาตัวรอด ขายยาโดยผิดพลาดกันไปทั่ว การแนะนำให้ลูกค้ากินยามาก ๆ กินยาที่ไม่จำเป็น กินยาที่ผู้ผลิตให้ส่วนลดสูง ๆ จะถูกผลักดันให้เป็นแนวโน้มทั่วไป"

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการกระจุกตัวของร้านขายยาในชุมชนที่เจริญ "…ทิ้งพื้นที่บ้านนอกหรือตรอกซอกซอยโทรม ๆ ไว้ให้แก่ร้านขายยาที่ขาดไร้เงินทุน หรือร้านขายของชำที่ขายยาเป็นอาชีพข้างเคียง ก่อปัญหาความขาดแคลนทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพของการบริการขึ้นในพื้นที่เหล่านั้น"

พิเชษฐ์ กล่าวอีกว่า "ผมได้ชี้แจงเหตุผลเหล่านี้ในที่ประชุมแล้ว แต่เมื่อใช้วิธียกมือลงคะแนนเสียง เราก็ต้องแพ้แน่เพราะเรามีคนน้อย ความจริงผมยังเห็นด้วยกับการค่อย ๆ ลดสัดส่วนเภสัชกรต่อประชากรลงมากกว่า อาจจะใช้ตัวเลข 18,000 คนและลดลงมาเป็น 5,200 คนในที่สุดก็ได้"

ทำไมสมาคมร้านขายยาจึงคัดค้านการยกเลิกระบบโควตาอย่างแข็งขันถึงเพียงนี้ เหตุผลการคัดค้านของสมาคมฯ คือ คำตอบของปัญหานี้ที่ชัดเจนที่สุด

ร้านขายยาที่เปิดดำเนินการอยู่แล้วกลัวการแข่งขันที่จะมีเพิ่มมากขึ้นอย่างมาก ๆ พิเชษฐ์ กล่าวว่า "หากแข่งตรงไปตรงมาเราไม่มีปัญหา หากใช้วิธีอื่น เรามีปัญหา การแข่งทางการค้านี่จรรยาบรรณก็จะลดลง ต้องมีการหายาด้อยคุณภาพมาขาย ยาที่ได้ลดเปอร์เซ็นต์มาก ๆ มาขาย"

วิธีการที่พิเชษฐ์เอ่ยมานั้น เป็นเรื่องพื้น ๆ ที่ผู้เป็นพ่อค้าย่อมรู้ดีอยู่แล้ว และพ่อค้าคนไหนๆ ก็สามารถทำได้เหมือน ๆ กัน แต่ประเด็นที่จะทำได้ต่างกันและมีผลต่อการแข่งขัน คือ เรื่องความเชื่อถือในบริการและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านยา คือ เภสัชกร

เทียบง่าย ๆ คือ ร้านที่มีเภสัชกรกับร้านที่ไม่มีเภสัชกร ผู้บริโภคจะเลือกซื้อยาจากร้านไหน ?

พิเชษฐ์ อ้างว่า การเคลื่อนไหวของสมาคมฯ คงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านำเหตุผลของสมาคมฯ เสนอต่อสาธารณชน ให้มหาชนเป็นผู้ตัดสิน แล้วให้รัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณา

ดูทีท่าว่าครั้งนี้สมาคมฯ จะมีเสียงไม่แข็งพอกระมัง ?

ตลอดเวลาที่สมาคมร้านขายยาคัดค้านเรื่องยกเลิกโควตา ก็สามารถทำได้ผลมาทุกครั้ง อย่างน้อยก็เป็นการถ่วงเวลาและสอดรับประสานกับการโยนเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะอื่น ๆ ที่แล้วแต่รัฐมนตรีจะส่งเรื่องไปให้

การคัดค้านครั้งที่ผ่าน ๆ มานั้น ว่ากันว่ามีการเสนอเรื่องผ่านทางกรรมการยาผู้ทรงคุณวุฒิบางคนที่มาจากภาคเอกชนและเป็นผู้คุมธุรกิจยาและเครื่องดื่มยี่ห้อสำคัญในตลาด บุคคลผู้นี้ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในวงการยา มีบารมี และบุญคุณต่อบริษัทยาหลายแห่ง

แหล่งข่าวในวงการยา กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ถ้าอยู่ต่างจังหวัดก็ต้องยกมือไหว้กันทีเดียว มีบริษัทยาหลายแห่งที่จะเจ๊ง "เฮียเหลียว" ก็ช่วยกู้สถานการณ์ไว้ให้ อย่างกรณีบริษัทไทยนครพัฒนา เมื่อก่อนเป็นเจ้าของโรงแรมโนราห์ที่หาดใหญ่ด้วย จะขายโรงแรมเพื่อเอามาขยายโรงงาน ก็ได้ "เฮียเหลียว" นี่แหละมาช่วยซื้อ ก็เป็นบุญคุณกัน"

ว่ากันว่า "เฮียเหลียว" รู้จักนักการเมืองมาก และเสียงทั้งหมดในคณะกรรมการยานี่ หาก "เฮียเหลียว" ไม่ตกลงก็ไม่มีใครยกมือผ่านเหมือนกัน !

ความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจกับการเมืองก็เหมือนกับกรณีอื่น ๆ มากมาย เครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อดัง ๆ ที่มีโฆษณาเผยแพร่ทางโทรทัศน์นั้น เภสัชกรทั่วไปต่างรู้ดีว่า เป็นเครื่องดื่มที่เทียบเคียงได้ว่าเป็นยาม้า

ยาแก้ปวดแก้อักเสบยี่ห้อดัง ๆ ที่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปรู้จักดีก็เป็นยาปฏิชีวนะ มีส่วนผสมของเตตร้าไซคลินที่ถือว่าเป็นยาอันตราย ควรซื้อหรือใช้โดยคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกร แต่ปรากฏว่ายาตัวนี้กลับมีวางขายทั่วไปนอกร้านขายยา

ยาแก้ปวดเหล่านี้ได้รับความเชื่อถือจากชาวบ้าน เพราะใช้ได้ผลจริง หายปวด แผลยุบ แต่ข้อที่เป็นอันตรายซึ่งพวกเขาไม่รู้ คือ ยาเหล่านี้จะมีผลต่อภูมิป้องกันในร่างกาย และในอนาคตก็ไม่สามารถใช้ยานี้รักษาได้อีก

ร้านที่จะขายยาปฏิชีวนะได้ คือ ร้านขายยาประเภท ขย.1 เท่านั้น เพราะกฎหมายบังคับว่า ร้านเหล่านี้จะต้องมีเภสัชกรประจำตลอดเวลาทำการ เพื่อให้คำแนะนำการซื้อและใช้ยาอย่างถูกต้องแก่ประชาชน

อย่างไรก็ดี สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ผลิตและจำหน่ายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ประเด็น คือ เรื่องการโฆษณาอย่างมอมเมาและสร้างความเข้าใจผิดแก่ประชาชน ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดยาให้ความเห็นว่า "จะเล่นงานพวกเขาในแง่กฎหมายคงทำได้ลำบาก แต่หากพวกเขาไม่มีการเมืองช่วยคุ้มครองอยู่ก็ไม่แน่ว่าอาจไปได้เหมือนกัน หากนักการเมืองคนใดใหญ่ขึ้นมาแล้วแคร์เรื่องนี้มาก เกิดไม่ยอมต่อทะเบียนให้บริษัทพวกนี้ก็แย่แล้ว"

ผู้เชี่ยวชาญรายเดิมให้ความเห็นว่า "ถ้าสามารถหยุดการขายเครื่องดื่มชูกำลังและยาแก้ปวดที่ผสมตัวยาปฏิชีวนะเหล่านี้ได้เพียง 6 เดือน รับรองว่า ชื่อของพวกเขาจะหมดจากตลาดไปทันที วิธีการอาจทำได้ง่ายมาก โดยการตรวจดูว่าเอกสารที่ยื่นขอต่อทะเบียนยังไม่เรียบร้อย ไม่สามารถต่อทะเบียนให้ได้ และให้ถอนยาทุกตำรับออกจากตลาดทั่วประเทศก่อน เพียงแค่นี้หากยังขืนขายต่อก็ถือว่าเป็นยาปลอมแล้ว"

ธุรกิจยาต้องโน้มเอียงเข้ามาอาศัยบารมีนักการเมืองเพราะเหตุที่กล่าวมานี้

ว่ากันว่า "เจ้าพ่อกระทิงแดง" ตัวจริงในเวลานี้และเป็นหนึ่งในกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการยาเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมืองหลายพรรค

นี่คือเหตุผลหนึ่งที่รัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ดองเรื่องการยกเลิกโควตาร้านยาไว้เป็นเวลานาน

ตลาดร้านยา
ช่องทางจำหน่ายใหญ่ที่สุด

ผู้เชี่ยวชาญตลาดยาประจำบริษัทยาข้ามชาติรายหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ช่องทางจัดจำหน่ายทางร้านยานี่ถือว่าเป็นช่องทางที่ใหญ่ที่สุด ในแง่ปริมาณอาจจะน้อยกว่าการจำหน่ายทางโรงพยาบาลและคลีนิกแพทย์ แต่มูลค่านั้นมากกว่ามหาศาล"

รายงานตัวเลขการกระจายของตลาดยาในประเทศ เมื่อปี 2530 ว่า ตลาดยาที่เป็นส่วนของโรงพยาบาลและคลินิกนั้น มีอัตราสูงสุด 56% ส่วนร้านขายยามี 40% ส่วนที่เป็นการส่งออกมี 3% ที่เหลือ 4% กระจายอยู่ที่อื่น ๆ

40% ที่อยู่ตรงร้านขายยานับเป็นส่วนสำคัญ เพราะมีมูลค่ามากกว่าตลาดโรงพยาบาลหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ และทางคลินิกเองนั้นก็มักจะซื้อตามร้านขายยา โดยเฉพาะร้านยี่ปั๊ว !

ทั้งนี้ การจำหน่ายยาสำหรับตลาดในประเทศนั้น มี 2 ลักษณะ คือ การขายตรงกับการขายผ่านบริษัทตัวแทนจำหน่าย คือ DISTRIBUTOR นั่นเอง บริษัทในประเทศส่วนมากจะใช้วิธีขายตรง คือ มีทีมร้านขายยากับทีมขายโรงพยาบาล

บริษัทยาในประเทศที่ทำขายตรงมี 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ คือ โอสถสภา (เต็กเฮงหยู) ไทยนครพัฒนา และทีซีฟาร์มาซูติคอล

ส่วนบริษัทยาต่างประเทศหรือบริษัทยาข้ามชาติมีการขายตรงน้อยกว่าการขายผ่านบริษัทตัวแทนจำหน่าย บริษัทยาข้ามชาติที่ทำขายตรงรายใหญ่ ๆ ได้แก่ เซอริ่งพลาว เฮิกซ์ไทย แกล็กโซ (ประเทศไทย) เกรทอีสเทิร์นดรัก เป็นต้น

นอกจากนั้น จะขายผ่านบริษัทตัวแทนจำหน่ายซึ่งบริษัทที่ใหญ่ที่สุด คือ ดีทแฮล์ม เพราะรับจัดจำหน่ายยาให้กับบริษัทยาชั้นนำของโลกมากกว่า 30 ราย

นอกจากดีทแฮล์มจะเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นบริษัทสาขาที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทแม่ ใหญ่กว่าบริษัทแม่ที่สวิสฯ เสียด้วยซ้ำ ขณะที่เอฟ อี ซิลลิก ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายยาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย กลับตกเป็นอันดับสองในตลาดยาประเทศไทย รองจากดีทแฮล์ม

บริษัทตัวแทนจำหน่ายเหล่านี้จะทำหน้าที่วางสินค้า ดูแลร้านขายยาและเก็บเงิน กรณีของดีทแฮล์มนั้น 80% ของการขายยาของดีทแฮล์มจะเป็นการขายร้านขายยา โดยดีทแฮล์มจะดูแลตั้งแต่เรื่องการส่งของเก็บเงิน และมีสัญญาจ่าย DISTRIBUTION FEE กับบริษัทเจ้าของยาที่ดีทแฮล์มจัดจำหน่ายให้ ซึ่งจะทำกันเป็นราย ๆ และมีอายุ 1 ปี หรือ 3 ปี 5 ปี แล้วแต่ลักษณะการทำตลาดของยาตัวนั้น ๆ

การจัดจำหน่ายยาผ่านบริษัทตัวแทนมีความซับซ้อนยุ่งยากกว่าสินค้าในตลาดอื่น ๆ เป็นอย่างมาก บริษัทตัวแทนจำหน่ายบางแห่งมีการทำ SECRECY AGREEMENT คือ ซื้อใบอนุญาตเป็นผู้แทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย บริษัทอีสต์เอเชียติ๊ก (ประเทศไทย) จำกัด มักจะทำตลาดในลักษณะนี้เป็นส่วนมาก มีส่วนน้อยที่อาศัยบริษัทจัดจำหน่ายรายอื่นบ้าง

กรณีของเอฟ อี ซิลลิก ก็มีลักษณะซับซ้อนไปอีกแบบ คือ มีทีมขายไว้คอยบริการบริษัทยาข้ามชาติ ผู้แทนยาในทีมทุกคนรับเงินเดือนจากเอฟ อี ชิลลิก เพียงแต่การตัดสินใจของทีมขายทีมนี้ไม่ได้ขึ้นกับเอฟ อี ชิลลิกแต่อย่างใด ทุกคนรับนโยบายจากบริษัทในต่างประเทศ รวมทั้งเรื่องการขึ้นเงินเดือน และปริมาณการขายด้วย

แต่ เอฟ อี ชิลลิก ก็สามารถคิดค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากบริษัทยาต่างประเทศนั้น นี่เป็นการทำสัญญาอีกประเภทหนึ่ง เพราะบริษัทยาต่างประเทศอาจจะยังไม่ต้องการลงหลักปักฐานอย่างถาวรในตลาดไทย ไม่แน่ใจสถานการณ์ ไม่อยากเสี่ยง

ผู้เชี่ยวชาญตลาดยาคนเดิม กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "บริษัทยาต่างประเทศอาจจะไม่อยากเปิดบริษัทยาในไทย ทางเอฟ อี ชิลลิก มีบริษัทอยู่แล้วก็ให้ส่งของให้เขาด้วย แต่เพื่อความแน่ใจว่ายาของเขาได้รับการโปรโมทแน่ เขาต้องการมีคนที่ขึ้นกับเขา แต่ว่าเอฟ อี ชิลลิกจ่ายเงินเดือน แล้วมาทำบัญชีเรียกเก็บจากเขาในภายหลัง"

บริษัทยาข้ามชาติบางแห่งแม้จะมีบริษัทสาขาอยู่ในประเทศไทย แต่ก็ยังใช้บริษัทตัวแทนจำหน่ายด้วย วิธีการคือจะมีการเซ็นสัญญากันเป็นครั้ง ๆ ไป โดยบริษัทยาจะเป็นผู้กำหนดให้บริษัทจัดจำหน่ายว่า ปีนี้จะตั้งเป้ายอดขายเท่าไหร่ โดยคำนวณจากยอดขายของปีที่ผ่านมาและอัตราการเติบโตของตลาด

ข้อดีของบริษัทตัวแทนจำหน่ายประการหนึ่ง คือ พวกเขารู้จักคุ้นเคยตลาดเมืองไทยมากกว่า รู้ว่าร้านขายยาไหนจะปล่อยเครดิตได้ คลินิกนี้เชื่อถือได้ไหม เช่น ดีทแฮล์มนั้นมี DATABASE รายชื่อร้านขายยาทั่วประเทศ รายชื่อคลินิกแพทย์ โรงพยาบาลทั่วประเทศ ทุกอย่างครบหมด เป็นต้น

ส่วนค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายตกลงกันทีเดียว อยู่ในอัตราระหว่าง 5-15% ของมูลค่าจำหน่ายทั้งหมด ระยะเวลาอาจจะเป็นปีหรือ 3 ปี เพราะยาบางตัวต้องอาศัยเวลาในการวางตลาด มิฉะนั้นบริษัทจัดจำหน่ายจะไม่คุ้มทุน

การเจรจาทำสัญญาประเภทนี้อาศัยการต่อรองหลายเรื่องเข้ามาพิจารณาด้วย ค่าธรรมเนียมอาจจะไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่บริษัทยาต่างชาติเรียกร้องต้องการ เช่น บริษัทตัวแทนจำหน่ายต้องมีทีมขายร้านขายยาให้โดยเฉพาะ ขายแต่สินค้าของบริษัทรายเดียวเท่านั้น ห้ามเอาสินค้าอื่นมาพ่วง

ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า "บางทีสินค้าตัวเล็ก ๆ นี่บริษัทตัวแทนจำหน่ายก็เอายี่ห้ออื่นมาพ่วงให้ผู้แทนไปขายด้วย ทีมขายนั้นกลายเป็นต้องขายสินค้าหลายยี่ห้อไป (VARIOUS BRAND)"

สำหรับมูลค่าตลาดยาในเมืองไทยนั้น ผู้เชี่ยวชาญรายเดิมยืนยันว่า "ไม่มีใครเดาได้เกินหมื่นล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 หมื่นล้านบาทแน่ ตัวเลขที่ผมใช้อยู่ประจำ คือ 15,000 ล้านบาท ผมคิดว่าถ้าใช้ตัวเลข 5 หมื่นล้านบาทน่าจะรวม RELATED PRODUCTS เข้าไว้ด้วย เช่น เข็มฉีดยา เอ็กซเรย์ ถ้าเป็น PURE MEDICINE ตัวเลข 15,000 ล้านบาทใกล้เคียงที่สุด"

ปัญหา คือ ไม่มีใครสามารถคำนวณได้ว่า ยาทัมใจ ทีซีมัยซิน ฮีโร่มัยซิน แอนตาซิล เหล่านี้มียอดขายเท่าไหร่แน่ ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่า "เฉพาะทัมใจตัวเดียว ยอดขายน่าจะถึง 200-300 ล้านบาท ขนาด TIMS และ IMS (INSTITUTE OF MEDICAL STATISTIC) ซึ่งเป็นบริษัทระหว่างชาติทำข้อมูลที่มีคนเชื่อถือทั่วโลก ยังบอกว่าเมืองไทยคาดหมายตัวเลขไม่ได้"

"ครั้งล่าสุด IMS เอาชื่อยาที่จดทะเบียนจากสำนึกงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และส่งทีมเฉพาะออกไปสอดถามปริมาณขายยาตัวนั้น ๆ จากโรงพยาบาลและร้านขายยา ทีละร้านทีละตัว ยังไม่สามารถหาตัวเลขออกมาได้" ผู้เชี่ยวชาญเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

วนิดา จิตต์หมั่น ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "PPA ประเมินมูลค่าตลาดยาทั้งประเทศ (ราคาขายปลีก) เมื่อปี 2530 ประมาณ 12,74ฃ74 ล้านบาท ในส่วนของบริษัทสมาชิก PPA 59 บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 40% นอกจากนั้นเป็นส่วนแบ่งของบริษัทยาในประเทศ"

ว่ากันว่า ราคายาในตลาดร้านขายยานั้นมีราคาสูงกว่าตลาดยาโรงพยาบาล 200-600% ขณะที่โรงพยาบาลขายยาสูงกว่าราคากลางได้เพียง 20% เท่านั้น

ทั้งนี้ ระบบการซื้อยาของโรงพยาบาลรัฐทุกแห่งจะมีระบบคณะกรรมการนำยาเข้าและมีบัญชียาหลักแห่งชาติที่จะสั่งซื้อจากองค์การเภสัชกรรม หากแพทย์ต้องการใช้ยานอกเหนือจากบัญชียาหลัก จะต้องมีการเสนอ CASE และเหตุผลประกอบ ซึ่งส่วนมากแล้ว คณะกรรมการจะอนุมัติให้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคเท่านั้น และงบประมาณที่จะใช้ซื้อยานอกบัญชียาหลักฯ ต้องเป็นงบประมาณพิเศษที่เกิดจากการทำกำไรของโรงพยาบาลนั้น ๆ

ราคายาโดยเฉพาะ ยาสามัญ หากซื้อจากโรงพยาบาล หรือโอสถศาลาจะถูกกว่าซื้อจากร้านขายยามาก เช่น CHLORPHENIRAMINE ต้นทุนราคาเม็ดละ 3 สตางค์ ซื้อจากโรงพยาบาลเม็ดละ 20 สตางค์ ซื้อจากร้านขายยาราคาเม็ดละ 50 สตางค์ NAPROSYN 250 มิลลิกรัมเป็นยาแก้ปวดแก้อักเสบ โรงพยาบาลขายเม็ดละ 6 บาท ร้านขายยาเม็ดละ 9-10 บาท เป็นต้น

หรือยาช่วยชีวิตบางตัวอาจจะขายเพียง 25 บาทในต่างประเทศ แต่ในเมืองไทยขาย 300 บาท ต้นทุนประมาณ 100 บาท แต่ในประเทศขาย 800-900 บาท เภสัชกรที่หันมาทำด้านนำยาเข้ารายหนึ่งเปิดเผยกับ "ผู้จัดการ"

การมีบัญชียาหลักแห่งชาติถือเป็นเรื่องดีสำหรับประชาชน เพราะทำให้ประชาชนได้ซื้อยาราคาถูก มันเป็นการควบคุมราคายาถือเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ในสังคม

แต่ตลาดร้านขายยานั้น ถือเป็นตลาดเสรีและเป็นแบบ DISPENCING MARKET คือ สามารถหาซื้อยาได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งยา ไม่มีการควบคุมราคาการกำหนดราคายาขึ้นอยู่กับกลไกตลาดและความจำเป็น หรือการนิยมใช้ยาตัวนั้น ๆ มากน้อยเพียงใด

หากราคายาแพงเกินไปก็ไม่มีใครซื้อมาขาย หรือหากจำเป็นต้องใช้จริง ๆ และในตลาดไม่มีใครผลิตออกมาแข่งได้ก็สามารถตั้งราคาว้สูงลิบได้เหมือนกัน

นักการตลาดในบริษัทยาข้ามชาติรายหนึ่ง ให้ความเห็นว่า "บริษัทยาข้ามชาติจะใช้กลยุทธ์มือหนึ่งขายขาดทุน คือ ขายโรงพยาบาลต้องเรียกว่าขายขาดทุน หรืออย่างดีที่สุดก็ขายเท่าทุน อีกมือหนึ่งขายเอากำหรตามร้านขายยาก็ต้องขายแพง เช่น ยา AMPICILLIN หากซื้อแบบ ORIGINAL RESEARCH ของบีแชมราคาเม็ดละ 5-10 บาท แต่ถ้าซื้อจากองค์การเภสัชฯ เม็ดละ 2.50 บาทแล้วแต่ผู้ซื้อจะเลือกใช้ ว่าไปแล้วมันก็เป็นการแข่งขันที่ถูกต้อง"

หากบริษัทยาข้ามชาติต้องขายยาในราคากลางหมด เห็นทีจะไปไม่รอด เพราะต้นทุนของบริษัทยาข้ามชาติแพงกว่าบริษัทยาท้องถิ่นมากมายมหาศาล ทุกอย่างลงบัญชีหมดและต้องทำให้ได้มาตรฐานเหมือนกันหมดทั่วโลกด้วย เช่น การจ้างบริษัทยาท้องถิ่นผลิตให้ก็ต้องจ้างโรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP ซึ่งมีอยู่ไม่กี่แห่งที่บริษัทยาต่างชาติเชื่อถือ คือ เอฟ อี ซิลลิก และโอลิค เป็นต้น และค่าใช้จ่ายด้านการตลาดก็สูงมากด้วย

นักการตลาดรายเดิม ให้ความเห็นว่า "การที่ตลาดร้านขายยาเป็นตลาดเสรีทำให้ผมคิดว่า การยกเลิกโควตาร้านยาจะไม่มีผลกระทบต่อระบบตลาดเท่าใด ตอนนี้เราก็แข่งขันกันรุนแรงอยู่แล้ว กลุ่มผู้บริโภคก็มีจำนวนคงที่เท่าเดิมและพฤติกรรมการบริโภคยาของคนไทยก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง มันมีผลดีเล็กน้อย แต่พวกบริษัทยาไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ อาจจะมีทาง TPMA ไม่สนับสนุนสักเท่าใด เพราะกลุ่มลูกค้าหลักของเขาเป็นพวกร้านขายยาเก่า ๆ และร้านยี่ปั๊วซึ่งเคลื่อนไหวคัดค้านเรื่องนี้กันอยู่"

TPMA เป็นแหล่งรวมของบริษัทผู้ผลิตยาภายในประเทศ ซึ่งมีสมาชิกที่เป็นโรงงานผลิตยาประมาณ 69 ราย TPMA ให้ความสนใจเรื่องกฎหมายสิทธิบัตรยามากกว่า เรื่องยกเลิกโควตาร้านยา ประเด็นนี้ TPMA จึงขัดแย้งอย่างหนักกับ PPA ซึ่งสนับสนุนให้มีสิทธิบัตรเพื่อคุ้มครองลิขสิทธิ์ยาใหม่ให้กับบริษัทยาต่างชาติ

ส่วนเรื่องโควตาร้านยาเป็นเรื่องที่เผชิญหน้าโดยตรงระหว่างเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ที่เรียนจบวิชาชีพเภสัชกรรม และต้องการสิทธิเสรีภาพในการประกอบวิชาชีพเฉกเช่นวิชาชีพอื่น ๆ กับสมาคมร้านขายยาซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าของร้านขายยารุ่นเก่าที่ไม่ได้เรียนเภสัชศาสตร์มาโดยตรง แต่ว่ากันว่าผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในสมาคมฯ เวลานี้ก็เป็นผู้ที่จบเภสัชศาสตร์มาเหมือนกัน

ผู้ที่คร่ำหวอดในตลาดยาไทยมาเป็นเวลานาน ให้ความเห็นว่า "เรื่องโควตาร้านยาเป็นประเด็นเล็กเมื่อเทียบกับเรื่องสิทธิบัตรยา และเรื่องโควตาก็ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดยาเท่ากับเรื่องสิทธิบัตร อย่างไรเสียเรื่องสิทธิบัตรก็ต้องออกมาแน่ ไม่ว่าเร็วหรือช้า หากออกมาเมื่อไหร่ บริษัทยาข้ามชาติต้องมีการปรับกลยุทธ์กันครั้งสำคัญ จะมีการนำยาใหม่ ๆ ออกมาวางตลาดกันหลายตัว และจะมีบริษัทยาข้ามชาติเข้ามาอีกมาก อันนี้แหละที่จะทำให้ตลาดยาเปลี่ยนโฉมไปจริง ๆ "

โฉมหน้าที่จะเปลี่ยนไป คือ เรื่องเทคโนโลยีและมาตรฐานการผลิตในอุตสาหกรรมยา ซึ่งเป็นเรื่องของกระบวนการผลิต เป็นต้นทางก่อนที่จะมาถึงมือผู้บริโภคปลายทางโดยผ่านร้านขายยาเป็นแหล่งสุดท้าย

โควตาร้านยา
โรคเรื้อรังที่ยังรอการรักษากันต่อไป

การเป็นตลาดยาเสรีที่ผู้บริโภคจะหาซื้อได้ง่ายโดยไม่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยนิยมกินยาราวกับเป็นอาหาร ใช้ยาฟุ่มเฟือย มีวัฒนธรรมการรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยการกินยาฉีดยา ทั้งโดยความเคยชินของผู้ป่วยและพฤติกรรมการรักษาของแพทย์ไทย

สำลี วิจารณ์เรื่องการเอาเจ้าหน้าที่ร้านยาที่อ่านออกเขียนได้มาทำการอบรมตามหลักสูตรของกระทรวงฯ เพื่อไปดูแลร้าน ขย.2 แทนพยาบาลว่าเป็นเรื่องตลกอย่างร้ายกาจ "เป็นการแสดงให้เห็นว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้เจตน์จำนงและวิธีการดูแลคุ้มครองผู้บริโภคแต่อย่างใด สิ่งที่ควรทำ คือ การให้การศึกษาระบบใหม่วัฒนธรรมใหม่ในการใช้บริการจากร้านยา มันเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่ประชาชนจะได้รู้จักวิธีใช้ยา รู้อันตราย ข้อควรระวังต่าง ๆ ไปร้านยาก็ถามได้จากเภสัชกร ส่วนแพทย์ก็ต้องยุติธรรมในการบอกชื่อ GENERIC NAME กับผู้ป่วย ไม่ใช่บอกแต่ชื่อทางการค้า"

ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนำเข้ายาจากต่างประเทศรายหนึ่ง กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ถ้าจะดูแลคุ้มครองผู้บริโภคกันอย่างจริงจังจริงใจละก็ ผมว่าควรจะจัดการผ่าโครงสร้างการบริหารงานสาธารณสุขของประเทศกันเสียที ปัญหาที่แก้ง่าย ๆ และควรจะจัดการโดยไวก็กลับดันทุรังปล่อยเอาไว้ เรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ"

การอบรมเจ้าหน้าที่ร้านยาเพื่อให้รู้จักตัวยาต่าง ๆ และคุณสมบัติของยาไม่ได้เท่ากับว่าพวกเขาจะช่วยคุ้มครองผู้ป่วยที่มาหาซื้อยาได้

ในทางกลับกัน การเรียกร้องให้มีเภสัชกรประจำร้านยาก็เพื่อให้การคุ้มครองแก่ผู้บริโภคซึ่งก็คือ ชาวบ้านธรรมดา

เป็นเรื่องรันทดหดหู่อย่างยิ่งที่พบว่า ผู้ป่วยทั้งต้องซื้อยาแพงและยังติดยางอมแงมโดยคำแนะนำของหมอตี๋

ข้อเรียกร้องที่จะให้ยกเลิกโควตาร้านยาเป็นความหวังของเภสัชกรที่นับวันจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นช่องทางเลือกตามสิทธิอันพึงมีของวิชาชีพซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากกว่าเป็นโทษ

มติของคณะกรรมการยาที่ยืนยันให้ยกเลิกโควตาถูกส่งต่อมาให้รัฐมนตรีปิยะณัฐเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เภสัชกรตั้งความหวังกันอย่างเต็มที่ว่า จะได้มีการล้มเลิกการปิดกั้นจำกัดช่องทางอาชีพของพวกเขา

แต่วิถีการเมืองที่ผลักดันให้เกิดโควตา และทำท่าราวกับว่าจะล้มล้างระบบโควตาได้ด้วยฝีมือนักการเมืองหน้าใหม่กลับต้องจำนนต่อกระแสการเมืองที่รุนแรงกว่า

รัฐมนตรีปิยะณัฐผู้ซึ่งรับปากรับคำอย่างหนักแน่นกับ "ผู้จัดการ" ว่า เป็นผู้นิยมในระบอบเสรีและไม่เห็นเหตุผลหนักแน่นพอที่จะคงระบบโควตาไว้ได้เซ็น "รับทราบ" มติของคณะกรรมการยา

ปิยะณัฐขอเวลาศึกษาเรื่องโควตาสักเล็กน้อย แต่ก็ได้เผยแนวทางดำเนินการล้มระบบโควตากับ "ผู้จัดการ" ว่า "แนวที่จะทำคือยกเลิกประกาศเดิมและออกประกาศใหม่เป็นโควตาฟรี พร้อมกับมีหลักเกณฑ์ควบคุมร้านขายยาอย่างเข้มงวดมากขึ้น ให้มีการตรวจตลอดเวลา หากมีการผิดเงื่อนไขต้องได้รับโทษตามกฎหมาย"

แต่แล้วสิ่งที่เภสัชกรคาดหวังเป็นนักหนาก็ล้มครืนลง ปิยะณัฐไม่จำเป็นต้องใช้เวลาศึกษางานในกระทรวงสาธารณสุขที่เขาไม่ได้ยินดีจะดูแลอีกต่อไปแล้ว

หมากกระดานของรัฐบาลชุดชาติชาย ชุณหะวัณ ถูกคว่ำลงอย่างไม่เป็นท่าโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติที่มีพลเอกสุนทร คงสมพงษ์ เป็นหัวหน้าคณะฯ เมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2534

คณะรักษาความสงบฯ ประกาศใช้กฎอัยการศึกยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน อันมีผลให้รัฐมนตรีทุกคนพ้นจากตำแหน่ง ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลงานของกระทรวง คือ ปลัดกระทรวงแต่ละแห่ง ซึ่งในส่วนของสาธารณสุข คือ นายแพทย์อุทัย สุตสุข ที่เป็นประธานคณะกรรมการยาและเป็นผู้เห็นด้วยกับการยกเลิกโควตา

คาดหมายว่า ปลัดฯ อุทัยจะสานต่อเรื่องนี้ให้สำเร็จในเร็ววัน เพื่อว่าโควตาร้านยาจะได้ไม่เป็นโรคเรื้อรังรอคอยการเยียวยาแก้ไขจากรัฐมนตรีคนแล้วคนเล่าอีกต่อไป !!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us