ผมขอพูดเรื่องนี้ ในฐานะผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่นักวิชาการ อุตสาหกรรมรถยนต์ มันเป็นอุตสาหกรรมที่เริ่มเติบโตมาจาอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเป็นเบื้องต้น
แต่ประเทศไทยอุตสาหกรรมชิ้นส่วนที่มันเติบโตช้ามาก ๆ ก็เพราะว่ารัฐ บาลไม่ได้ให้ความสำคัญของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเลย
แต่กลับให้ความสนใจโรงงานประกอบ จะเห็นว่าโรงงานประกอบจะได้รับการส่งเสริมการลงทุน
จะได้รับการยกเว้นภาษี และอะไรอีกหลายอย่าง ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นการส่งเสริมที่ผิด
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ คือว่าโรงงานประกอบรถยนต์หนึ่งคันจริง
ๆ แล้วชิ้นส่วนที่ใช้ในการประกอบจะเข้ามาจากโรงงานย่อยประมาณ 70% ส่วนที่เป็นของโรงงานประกอบรถยนต์จริง
ๆ มันไม่มีอะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นงานประกอบชิ้นส่วนที่ซื้อเข้ามาแล้วก็พ่นสี
รวมกันแล้วประมาณ 30%
แต่ในเมืองไทยเนื่องจากว่า รัฐบาลไม่ได้ให้การส่งเสริมที่ถูกต้องไปให้การส่งเสริมโรงงานประกอบ
โดยที่ไม่เคยมาสนใจอุตสาหกรรมชิ้นส่วนเลย อุตสาหกรรมชิ้นส่วนก็เลยเติบโตช้า
ทำให้โรงงานประกอบรถยนต์เหล่านั้นฉวยโอกาสออกไปตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนรายย่อยเสียเอง
เพื่อฉวยประโยชน์ว่า เมื่อโรงงานประกอบได้รับผลประโยชน์จากการส่งเสริมแล้วก็จะทำให้โรงงานย่อยที่อยู่ในเครือได้รับผลประโยชน์ติดตามไปด้วย
เพราะฉะนั้น มันก็เลยกลายเป็นอุตสาหกรรมที่จะต้องขอการสนับสนุนตลอดเวลา
แบบ "เฒ่าทารก" คือ เป็นคนที่เลี้ยงไม่รู้จักโต
สิ่งที่แย่ที่สุดที่ตามมา ผมจะบอกให้ชิ้นส่วนของโรงงานประกอบนั้น ยังต้องเอาชิ้นส่วนเข้ามาจากต่างประเทศอีกมาก
เช่น เครื่องยนต์ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ยาก ประเภทชิ้นส่วนระบบช่วงล่างอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดแล้วก็ตั้งราคากันสูง
ๆ เพื่อจะได้ถ่ายเทเงินออกไปให้บริษัทแม่ในต่างประเทศมาก ๆ และเพื่อเขาต้องทำภาษีที่เขาเสียไปนั้นเท่ากับศูนย์
ตอนนี้ สมมุติราคาขาย 500,000 บาท เป็นต้นทุนจริง ๆ ที่ไม่รวมภาษีประมาณ
150,000 บาท พวกนี้จะเสียภาษีซีเคดีหรือนำเข้าชิ้นส่วนประกอบประมาณ 340%
ของราคานำเข้า เพราะฉะนั้นมันยิ่งทำให้ราคามันสูงขึ้นไปอีก
แต่พวกผู้ประกอบการผูกขาดพวกนี้ไม่สนใจหรอกว่า ตั้งราคาสูงแล้วจะขายไม่ได้
เพราะว่ามันไม่มีการแข่งขันกันอย่างกว้างขวาง ซ้ำยังทำให้สินค้ามันขาดตลาดเข้าไว้
จะซื้อคันหนึ่งต้องจองนานถึง 6 เดือนคนก็ยังรอซื้อ
ฉะนั้น ผมจึงเห็นด้วยอย่างเต็มที่ที่จะให้เปิดโรงงานประกอบรถยนต์เสรี
เสรีในที่นี้นอกจากไม่มีโควต้าโรงงานแล้ว ยังจะต้องไม่มีการกำหนดโมเดล ไม่มีการกำหนดรุ่น
ไม่มีอะไรสักอย่างที่จะต้องมาบังคับกำหนดกัน เพราะว่าผมรู้อยู่แล้วว่าการเลือกโมเดลหรือเลือกรุนมันบังคับระบบ
ที่ถูกน่าจะให้ผู้บริโภคคนไทยเป็นคนเลือกว่าเขาชอบอย่างไร
ทั้งนี้ มันจะได้ประโยชน์ทั้งในแง่การพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศของเรา
และในด้านประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่ผู้บริโภค รวมไปถึงโอกาสในการส่งออกในระยะยาวต่อไป
ในแง่การพัฒนาอุตสาหกรรมนั้น จะทำให้มีคนสนใจเข้ามาลงทุนทางด้านนี้มากขึ้น
ซึ่งมันจะทำให้เกิดการแข่งขัน สำหรับเจ้าเก่าที่มีอยู่เดิมก็จะหันเข้ามาต่อสู้ด้วยการพัฒนาคุณภาพและราคาที่เหมาะสมมากขึ้น
หมายความว่า นอกจากเปิดเสรีแล้ว ผมยังอยากให้มีการสนับสนุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ทั้งหมดเลย
ไม่ใช่เฉพาะโรงงานประกอบรถยนต์อย่างเดียว
เพราะปัจจุบันนี้ โรงงานผลิตชิ้นส่วนเล็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกเบาะ พวกไฟ หรือโรงกลึงอะไรก็แล้วแต่
พวกนี้เขาไม่มาขอบีโอไอ เพราะว่าเขามีโรงงานไม่ใหญ่พอ เนื่องจากบีโอไอกำหนดไว้ว่าจะต้องเป็นโรงงานที่ใหญ่ห้าล้านสิบล้านขึ้นไป
แต่หารู้ไม่ว่าที่ต่างประเทศรอบ ๆ เมืองดีทรอยทั้งหมด มันเป็นโรงงานแค่ล้านสองล้านบาทนั้นมีตั้งประมาณ
8,000 - 15,000 โรงงาน ตั้งแต่ดีทรอยลงมาถึงโอไฮโอจนถึงมิสซูรี่ข้ามไปถึงแคนาดาด้วย
ไม่ว่าจะเป็นโรงงานทำกุญแจ โรงงานชุบ โรงงานทำเบาะ โรงงานเหล่านี้ได้รับการส่งเสริมทั้งสิ้น
แล้วมันจะส่งผลถึงแรงงานที่จะทำให้มันเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมนี้ด้วย เพราะจริง
ๆ แล้วแรงงานในโรงงานประกอบรถยนต์มีไม่เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับแรงงานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้
อย่างเช่นโรงงานเฟรจไรเนอร์ประกอบรถยนต์บรรทุก ซึ่งผมเคยทำงานอยู่ด้วยนั้นมีคนงานทั้งหมด
12,000 คนเท่านั้น สำหรับ 4 โรงงาน แต่ปรากฏว่า โรงงานขนาดย่อยรอบ ๆ ที่ส่งชิ้นส่วนเข้ามาให้โรงงานนี่ผมว่าใช้คนงานไม่ต่ำกว่า
80,000 จนถึง 100,000 คน
ดังนั้น สิ่งที่ผมพยายามจะพูดก็คือ ขณะนี้รัฐบาลไม่ค่อยให้การเหลียวแลอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรายย่อย
ๆ พวกนี้เลย และไม่ได้ให้ความเป็นธรรมสำหรับการสนับสนุนอุตสาหกรรม หรือเปิดอุตสาหกรรมประเภทนี้ให้มีอิสระเสรี
เพราะว่าไปสนับสนุนพวกโรงงานประกอบรถยนต์เพียงฝ่ายเดียว ทั้งที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนมีตลาดที่กว้างขวางรองรับ
มันไม่ใช่มีตลาดส่งเฉพาะโรงงานประกอบรถยนต์เพียงอย่างเดียว แต่มันส่งอุตสาหกรรมใหญ่อื่น
ๆ ได้อีกมากมาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เช่น พวกผลิตชิ้นส่วนพลาสติกก็ยังสามารถทำตู้เย็นได้
ทำจักรเย็บผ้าได้ วิทยุ ทีวี อย่างนี้เป็นต้น
ผมเห็นว่า อุตสาหกรรมเหล่านี้ คือ อุตสาหกรรมหลักที่จะตกแก่ลูกหลานคนไทยของเราในอนาคตอีกห้าสิบปีร้อยปีข้างหน้า
ไม่ใช่ที่มีอยู่ขณะนี้ ผลตอบแทนจากการลงทุน กำไรมันออกไปต่างประเทศหมด
เวลานี้จำนวนคนงานในโรงงานขนาดย่อมผลิตชิ้นส่วนส่งโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทยมีจำนวนการจ้างงาน
ผมว่ามีถึง 10 เท่าของคนงานในโรงงานประกอบรถยนต์ ขณะที่ต่าปงระเทศมันกลับกันกับเรา
เหตุนี้ถ้าอุตสาหกรรมขนาดย่อมผลิตชิ้นส่วนได้รับการดูแลจากรัฐไม่ว่าจะให้การส่งเสริมด้วยรูปแบบใดก็ตาม
มันจะมีทิศทางการเติบโตเหมือนในต่างประเทศเช่นกัน
สำหรับประเด็นในด้านผู้บริโภค ผมเชื่อว่า นโยบายการแข่งขันเสรีของการลงทุนตั้งโรงงานประกอบรถยนต์จะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพที่ดีขึ้นและราคาต่ำลง
แต่ทุกวันนี้คุณภาพมันต่ำเมื่อเทียบกับรถยนต์ในต่างประเทศในขณะที่ราคามันแพงมาก
เพราะว่าเมื่อรัฐบาลให้การส่งเสริมก็มีการขนเอาอุปกรณ์ชิ้นส่วนประกอบรถยนต์พวกเครื่องยนต์
ชิ้นส่วนช่วงล่างอะไรพวกนี้เข้ามา เมื่อเอาพวกนี้เข้ามาแล้ว พวกที่ได้ประโยชน์จริง
ๆ ไม่ใช่ใคร มันก็คือบริษัทแม่ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ขายให้นั่นเอง เพราะแบบมันถูกกำหนดมาจากบริษัทแม่
ผมจะบอกให้ว่า ถ้านับเป็นมูลค่าชิ้นส่วนที่นำเข้ามาจากต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทย
ประเภทนี้มีมูลค่ามากกว่า 50-60% ของต้นทุนทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือ ให้พยายามหนุนให้อุตสาหกรรมภายในเกิดขึ้น
ซึ่งจะทำให้การนำเข้าพวกที่เราผลิตเองยังไม่ได้ขณะนี้ลดน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อในประเทศมีการผลิตเองมากขึ้นเรื่อย
ๆ มันก็เกิดการแข่งขัน
อย่างสมมุติต้นทุน 100% ค่าเครื่องจักรประมาณสัก 80% ที่เหลือเป็นแรงงาน
80% นี่มันขึ้นมาเพราะว่าภาษีสูง เมื่อก่อนนี้ภาษีนำเข้าเครื่องจักรสูง 40%
เดี๋ยวนี้ลดลงเหลือ 5% เพราะฉะนั้นปัจจุบันนี้ต้นทุนจริง ๆ มันก็ลดลงไป ต้นทุนเครื่องจักรที่เคยสูง
80% ก็จะเหลือสักประมาณ 50-60%
จุดนี้เป็นช่วงที่อุตสาหกรรมจะต้องเกิด แล้วในที่สุดมันก็ลดราคาลง เพราะการแข่งขันจะทำให้บริษัทแม่ที่เคยส่งชิ้นส่วนเข้ามาแพง
ๆ ก็จะต้องลดราคาลง ผู้บริโภคจะได้ประโยชน์
เช่นนี้แล้วจะได้ไม่ต้องมีโควต้า ผู้บริโภคไม่ต้องไปจองนาน 6 เดือนเหมือนอย่างทุกวันนี้
ในขณะเดียวกันเมื่อการแข่งขันกันมีสูงขึ้นจะทำให้แต่ละคนหันมาแข่งขันในการสร้างคุณภาพของรถยนต์ให้ดีขึ้น
ผู้บริโภคมีโอกาสในการเลือกมากขึ้น
นอกจากนี้ ก็ยังส่งผลถึงการส่งออกด้วย เพราะถ้าเราสามารถลดต้นทุนได้ คุณภาพได้รับการพัฒนาขึ้น
ตลาดในต่างประเทศก็ไม่มีปัญหา เพราะค่าแรงของเราขณะนี้ถูกกว่าต่างประเทศถึง
20 เท่า
เมื่อพิจารณาใน 2-3 ประเด็นที่ผมกล่าวมา ในความเห็นของผมต่อแนวคิดทางนโยบายของรัฐที่จะเปิดเสรีโรงงานประกอบรถยนต์จึงเห็นด้วย
และอยากให้กล่าวลึกกว่านั้น คือ ควรปล่อยเสรีอย่างไม่มีเงื่อนไขในการผลิต
เพื่อให้ระบบอุตสาหกรรมรถยนต์ในเมืองไทยมีประสิทธิภาพเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคและเทคโนโลยีการผลิตเสียที