|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ธปท.เดินหน้าเร่งสถาบันการเงินปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี หรือความต้องการของผู้บริโภค รับหลังนำเกณฑ์บาเซิล 2 มาใช้จะทำให้เงินกองทุนของแบงก์พาณิชย์ทั้งระบบลดลง 1.5% จาก 13.5% เหลือ 12.5% ระบุปัญหาการเมืองเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น มั่นใจหลังรัฐโหมกระตุ้นความเชื่อมั่นภาคเอกชน เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในครึ่งหลังของปี ขณะที่การลงทุนและการบริโภคจะพุ่งแทนการส่งออกในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ได้ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ภาวะเศรษฐกิจไทยและภาคธุรกิจ”ซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ธนาคารแสตนดาร์ด ชาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด และบริษัท ไพร้ซวอเตอร์เฮาคูเปอร์ (ประเทศไทย) ว่า การขยายตัวเศรษฐกิจของไทยยังคงเติบโตดีอยู่ โดยไตรมาสแรกของปีนี้เท่ากับไตรมาส 4 ของปีก่อนที่ระดับ 4.3% ซึ่งภาคการส่งออกที่มีสัดส่วนถึง 80%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักส่วนหนึ่ง เพราะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโลกที่ยังคงขยายตัวดีอยู่ และภาคเอกชนหันมาส่งออกตลาดต่างประเทศมากขึ้นทดแทนการส่งออกตลาดในประเทศที่ยังคงชะลอตัวอยู่
ทั้งนี้ แม้ภาครัฐก็มีการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการออกนโยบายต่างๆ ที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจของภาคเอกชนและเพื่อรับช่วงต่อจากการส่งออกในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แต่การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยการบริโภคไตรมาสแรกขยายตัว 1.3% เมื่อเทียบกับปี 49 และปี 48 ขยายตัวอยู่ที่ระดับ 3.1% และ 4.3% โดยเฉพาะสินค้าทุน อาทิ รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิสก์ ส่วนการลงทุนก็มีการชะลอตัวจนติดลบในรอบหลายปีที่ผ่านมา โดยไตรมาสแรกลดลงถึง –2.4% เทียบกับปี 49 ขยายตัว 3.9% และปี 48 ที่ระดับ 10.9%
อย่างไรก็ตาม ธปท.เชื่อว่าจากการผ่อนคลายนโยบายด้านต่างๆของภาครัฐ ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังคงดีอยู่ทั้งภาคการต่างประเทศ รวมทั้งยังมีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งการลงทุนในตลาดหุ้นหรือในรูปของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) และยิ่งหากการเมืองมีความชัดเจน จึงเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
"ขณะเดียวกันปัจจัยอื่นๆก็เอื้ออำนวยอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นสภาพคล่องที่เยอะ ดอกเบี้ยขาลง ราคาพืชผลสูง รวมทั้งการส่งออกที่ยังขยายตัวดีอยู่ ขาดแต่เพียงการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงแผ่วอยู่ ซึ่งปัญหาตัวใหญ่ คือ การเมืองที่ยังไม่นิ่ง รวมทั้งการร่างรัฐธรรมนูญที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะผ่านหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญด้วย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าปัญหาการเมืองเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น เพราะขณะนี้บางธุรกิจที่มีการลงทุนระยะยาวก็ได้เดินหน้าไปบ้างแล้ว เหลือเพียงการเพิ่มความมั่นใจต่อนักลงทุนมากขึ้นการลงทุนในส่วนอื่นๆ ก็จะตามมา"ผู้ว่าการธปท.กล่าว
ผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า ในส่วนของภาคสถาบันการเงินและบริษัทจดทะเบียนก็ต้องมีการพัฒนาและปรับปรุงตัวเองให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี หรือแม้แต่ความต้องการของผู้บริโภค จึงจำเป็นที่ต้องมีการนำมาตรฐานสากลแบบใหม่ๆ มาใช้ในการดำเนินธุรกิจด้วย โดยภาคสถาบันการเงินและบริษัทจดทะเบียนจะต้องเตรียมความพร้อมกับมาตรฐานใหม่ที่ธปท.จะนำมาใช้ด้วยใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การกำกับแบบรวมกลุ่ม 2. การเตรียมความพร้อมรองรับการใช้มาตรฐานการบัญชีระหว่างประเทศ ฉบับที่ 39 (IAS39) และ3.การดำรงเงินกองทุนตามหลัก บาเซล ทู
โดยเฉพาะการดำรงเงินกองทุนตามมาตรฐาน บาเซล ทู ที่จะเริ่มมีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการในปี 51 นี้ ก็ยอมรับว่าจะมีผลให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(บีไอเอส) จากปัจจุบันเฉลี่ยในระบบอยู่ที่ 13.5% ลดลง 1.5% ทำให้เงินกองทุนในระบบธนาคารพาณิชย์เหลือเพียง 12% เท่านั้น ขณะเดียวกันก็อาจมีผลต่อการปรับระบบการดำเนินงานภายในองค์กร ฐานข้อมูล รวมทั้งบุคคลากรด้วย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะส่งผลดีในแง่ของการพิจารณาสินเชื่อให้แก่ลูกหนี้ที่มีคุณภาพจะดีขึ้น โดยจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ถือเป็นการสอดคล้องกับความเสี่ยงธุรกิจลูกหนี้รายนั้น โดยเฉพาะลูกหนี้ประเภทธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) และลูกหนี้ที่ต้องการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้วย
สำหรับการกำกับแบบรวมกลุ่ม เป็นการพิจารณาให้สินเชื่อ และเงินกองทุนของธุรกิจในเครือข่ายเข้าด้วยกันกับบริษัทแม่ ถือเป็นการพิจารณาเป็นกลุ่มแทนจากเดิมที่พิจาณาเฉพาะบริษัทในเครือที่เข้ามาขอสินเชื่อเท่านั้น ซึ่งจะเริ่มนำมาใช้ในปีหน้า เช่นกัน
ส่วนการนำมาตรฐานการบัญชีแบบใหม่อย่าง IAS39 เชื่อว่าจะไม่กระทบการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ เพราะธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่จะมีการพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้มากกว่า ซึ่งหากมีการใช้ IAS39 ก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ประกอบกับเงินกองทุนของระบบธนาคารพาณิชย์โดยเฉลี่ยก็ยังมีสูง จึงเชื่อว่าจะไม่ส่งผลต่อฐานะของธนาคารพาณิชย์แต่อย่างใด
โดยก่อนหน้านี้ นางทองอุไร ลิ้มปิติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า จากการประเมินของ ธปท. พบว่า หากมีการใช้มาตรฐาน IAS39 ธนาคารพาณิชย์ในระบบจะต้องมีการกันสำรองเพิ่มขึ้น 68,000 ล้านบาท แต่ขณะนี้ได้มีธนาคารพาณิชย์ประมาณ 5-6 แห่งมีการกันสำรองไปแล้วถึง 40,000-50,000 ล้านบาท กันสำรองครบทั้ง 100% ภายในครั้งเดียวจากที่ธปท.อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกันสำรองได้ 3 งวด คือ งวดสิ้นปี 2549 งวดกลางปี 2550 และให้เสร็จทั้งจำนวนในงวดสิ้นปี 2550 ทำให้ในปีนี้ทั้งปีธนาคารพาณิชย์จะต้องกันสำรองเพิ่มอีกเพียง 20,000 ล้านบาทเท่านั้น
|
|
 |
|
|