|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.ทรีนีตี้ ชี้ ตลาดหุ้นไทยเสี่ยงหุ้นร่วง หากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลเม็ดเงินต่างชาติไหลออก"วิศิษฐ์"แจง ธปท.ลดดอกเบี้ยได้เร็วกระตุ้นเงินฝากในระบบ 5 ล้านล้านบาท หันเข้าตลาดหุ้นได้ชดเชยเงินฝรั่ง มั่นใจดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นได้ ลั่น ถึง 1 พันจุดได้หรือไม่ขึ้นอยู่นโยบายของธปท.
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยในงานเสวนา"รู้ทัน Fund Flow โหวตทันราคาหุ้น " ว่า จากการที่บริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ ได้มีการประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะมีการปรับขึ้นอีก 0.25%ในปีนี้ ทำให้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ที่ 5.5% ในปลายปีนี้ และจะขึ้นอีก 0.50% ในปีหน้าทำให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯอยู่ที่ 6% นั้นจะมีผลทำให้เม็ดเงินต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะมีการไหลออกไป โดยเฉพาะ นักลงทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) ที่มีการกู้เงินมาลงทุนนั้นต้องมีการรีบขายหุ้นเพื่อนำเงินไปคืนเงินกู้มา และได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้หากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เร็ว ก็จะทำให้เงินออมที่ฝากธนาคารพาณิชย์ที่ทั้งระบบในขณะนี้มีจำนวน 5 ล้านล้านบาท ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น และธปท.ควรที่จะออกมาตรการให้แบงก์พาณิชย์มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นเช่นกัน จากปัจจุบันที่มีการปรับลดดอกเบี้ยที่ช้า ซึ่งหากสามารถทำให้เม็ดเงินออมที่ฝากกับแบงก์เข้ามาลงทุนในหุ้นได้ ก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ แม้ต่างประเทศจะมีการขายหุ้นไทยออกไปก็ตาม
"หากธปท.มีการลดดอกเบี้ยได้เร็ว ทำให้เม็ดเงินที่มีการฝากจากธนาคารที่มีทั้งระบบ 5 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ของตลาดหุ้นไทยไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ถึงแม้เฟดจะปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทำให้เม็ดเงินต่างชาติไหลออก ก็ยังคงทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เช่น ในปี 2003นั้น ต่างชาติมีการขายหุ้นไทยออกมา แต่นักลงทุนในประเทศมีการซื้อก็ยังทำให้ดัชนีมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 400 จุด ดังนั้นจึงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนในประเทศ "นายวิศิษฐ์ กล่าว
สำหรับการที่การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ถึง 1,000 จุดนั้นขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก คือ ธปท. จะต้องมีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วแค่ไหน ซึ่งหากปรับตัวลดลงได้อีก 1 % ในปีนี้ก็จะดีกับตลาดหุ้นไทย ส่วนปัจจัยที่สอง จะขึ้นอยู่กับ ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหรือไม่ จากก่อนหน้านี้ที่ประเมินว่าจะปรับตัวลดลง
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ปัจจุบันนักลงทุนทั่วโลกให้มีการให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากว่าการลงทุนในตราสารหนี้ (บอนด์)แต่จากการที่ผลตอบแทนของบอนด์อายุ10ปี และ 30 ปี ของอเมริกา มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% นั้น อาจมีผลทำให้นักลงทุนมีการเคลื่อนย้ายเงินจากหุ้นไปลงทุนในบอนด์มากขึ้น รวมถึงอัตราเบี้ยที่เฟดจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้ว่าเฟดออกมาส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยหลังจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น
ทั้งนี้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาพบว่ามีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยรวม 1 ล้านล้านบาทแบ่งเป็นการเข้าลงทุนในตลาดหุ้น 3 แสนล้านบาทลงทุนในตราสารหนี้ 1 แสนล้านบาทและ 2 แสนบาทเป็นการลงทุนโดยตรง ที่เหลือเป็นการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์หลังจากที่ทางการมีการแก้ไขพรบ.ต่างชาติซึ่งจำกัดการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติเลยหันไปลงทุนในบริษัทที ;่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน(BOI)
|
|
|
|
|