ธอส. เตรียมนำสินเชื่อกว่า 5 แสนล้านบาท ทำซีเคียวรีไทเซชั่นออกขายให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ หวังหาเงินปล่อยกู้ใหม่ รับต้นทุนสูงกว่าวิธีอื่น แต่หากทำต่อเนื่องต้นทุนถูกลง ล่าสุดเตรียมคัดเลือกที่ปรึกษาด้านการเงินภายในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ ก่อนเสนอต่อกระทรวงคลังต่อไป คาดจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2551 เผยหลังปรับลดดอกเบี้ยเหลือ 4.99% ตั้งแต่ 9 พ.ค.มีประชนกู้แล้ว 2,000 ล้านบาท
นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. เตรียมนำสินเชื่อคุณภาพดีที่มีอยู่ประมาณ 500,000-600,000 ล้านบาท อายุสินเชื่อระหว่าง 5-7 ปี มาทำการแปลงเป็นตราสารออกขายให้กับสถาบันและนักลงทุนที่สนใจ (ซีเคียวรีไทเซชั่น) ทั้งนักลงทุนชาวไทยและต่างชาติ ในวงเงินประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ การทำซีเคียวรีไทเซชั่น ดังกล่าวจะทำให้ ธอส. ได้เงินอัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาวเข้ามา เพื่อนำปล่อยสินเชื่อใหม่ได้อีก โดยยอมรับว่าการทำซีเคียวรีไทเซชั่นในครั้งแรกจะมีต้นทุนที่สูงกว่าการระดมเงินในวิธีอื่น เนื่องจากต้องมีการสวอ๊ปเงินจากต่างประเทศเข้ามา แต่หากดำเนินการอย่างต่อเนื่องจะทำให้ต้นทุนถูกลง
สำหรับขั้นตอนการดำเนินงาน ขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างจัดหาที่ปรึกษาทางการเงิน ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการนำสินเชื่อแปลงเป็นตราสารออกขาย โดยจะสามารถคัดเลือกที่ปรึกษาทางการเงินได้ภายในสินเดือนนี้ และเมื่อได้ผู้ทำหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ก็ทำการเสนอขออนุมัติจากกระทรวงการคลังต่อไป ซึ่งคาดว่าขั้นตอนต่าง ๆ จะเริ่มต้น และแล้วเสร็จต้นปีหรือกลางปี 2551
"ในช่วงเวลาดังกล่าว ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น ร่างรัฐธรรมนูญก็จะผ่านพ้นไป มีการตั้งรัฐบาลใหม่ และนักลงทุนก็พร้อมจะลงทุน" นายขรรค์กล่าว
สำหรับกลุ่มที่เสนอเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน มี 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรก ประกอบด้วย ฮ่องกงแบงก์ เอบีเอ็นแอมโร และธนาคารพาณิชย์ไทย กลุ่ม 2 ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด และธนาคารพาณิชย์ไทย กลุ่ม 3 รอยัลแบงก์ออฟสกอตแลนด์ และทิสโก้ กลุ่มสุดท้าย โตเกียว มิตซูบิชิ และดอยช์แบงก์
พร้อมกันนี้นายขรรค์ ยังแสดงความเห็นว่า หลังจากคณะรัฐมนตรีแก้ไขประกาศ คปค.ให้นักการเมืองจัดกิจกรรมทางการเมืองได้ สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและนักลงทุนมากขึ้น แต่คงต้องรอดูการลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งปลายปีนี้จนมีรัฐบาลใหม่ ความมั่นใจก็จะเพิ่มขึ้น สำหรับบรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย คงต้องดูไปอีกประมาณ 2 เดือน ว่าจะมีแนวโน้มอย่างไรบ้าง
นอกจากนี้ ธอส. ยังได้ปรับลดดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยลงจาก 6% เหลือ 4.99% ตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้อนุมัติสินเชื่อไปแล้ว 2,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการตอบรับอย่างดี เนื่องจากประชาชนต้องการดอกเบี้ยคงที่ ส่วนผลการปล่อยสินเชื่อในรอบ 5 เดือน ธอส. ปล่อยไปแล้วกว่า 35,000 ล้านบาท จากเป้าหมายทั้งปี 95,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าน่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังจะมียอดขอสินเชื่อเข้ามามากกว่าครึ่งปีแรก
ส่วนโครงการที่เป็นมาตรการพยุงเศรษฐกิจ คือ โครงการบ้านหลังแรก ที่คิดอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรน 4.99% ว่าขณะนี้หลักเกณฑ์ที่มีอยู่กำหนดให้บ้านหลังแรกจะกู้ในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท เห็นว่าเป็นหลักเกณฑ์ที่ไม่เปิดกว้าง จึงเพิ่มวงเงินเป็นหลังละ 3 ล้านบาท แต่จะจำกัดวงเงินปล่อยกู้รวมไม่เกิน 20,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ธอส.ยังอยู่ระหว่างพิจารณาช่วยแบ่งเบาภาระประชาชนที่ซื้อบ้านเอื้ออาทร ให้วงเงินการผ่อนชำระลดลง จากปัจจุบันผ่อนเดือนละ 2,400 บาท โดยจะพิจารณาให้เหลือไม่เกิน 2,000 บาทต่อเดือน คงที่ 3 ปี คาดว่าจะมีผลภายในสิ้นเดือนนี้ สำหรับสินเชื่อบ้านเอื้ออาทรที่จะขอกู้กับ ธอส. ภายในปีนี้ จะมีทั้งสิ้น 20,000 หน่วย หน่วยละ 400,000 บาท รวมเป็นวงเงินขอสินเชื่อ 8,000 ล้านบาท
ล่าสุดนายขรรค์ ยังได้เป็นประธานเปิดคาน์เตอร์การเงินที่ JJ Mall จตุจักร เพื่อเพิ่มจุดบริการให้แก่ลูกค้า ของ ธอส. โดยเค้าเตอร์การเงินดังกล่าวจะเปิดให้บริการทุกวันไม้เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างเวลา 10.30-20.00 น.
|