"ฟูจิโกะ" โหนกระแสความไม่สงบ-บอมป่วนเมือง ทุ่มงบการตลาด-โฆษณา 24 ล้านบาท บูม ตลาดระบบรักษาความปลอดภัย สร้างยอดขายกล้องวงจรปิด เน้นเจาะกลุ่มอาคารสำนักงาน-คอนโดฯ อาพาร์ตเมนต์ ร้านค้ามินิมาร์ท หลังประชาชน-หน่วยงานราชการ-เอกชนหันให้ความสำคัญระบบรักษาความปลอดภัย ตั้งเป้าโต 20%
นายสิทธิชัย ศรีสงวนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส.จี.ดี. อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด ผู้นำเข้า จัดจำหน่ายและให้บริการ ระบบกล้องวงจรปิดครบวงจร แบรนด์ ฟูจิโกะ กล่าวว่า ในช่วงระยะ 1- ปีที่ผ่านมา บริษัทเอกชนและหน่วยงานราชการหันมาให้ความสำคัญกับระบบระกษาความปลอดภัยมากขึ้นเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ และสถานการณ์การรอบวางระเบิดตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในส่วนของ3จังหวัดชายแดนภาคใต้ และในพื้นที่ กทม. รวมถึงปัญหาการก่ออาชญากรรม การปล้นร้านค้ามินิมาร์ท ห้างจำหน่ายทองคำ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต และทรัพย์สิน ของประชาชนและหน่วยงานราชการและเอกชน
ดังนั้น ปัจจุบันระบบรักษาความปลอดภัยจึงได้รับความสนใจจากประชาชนมากขึ้น นอกจากนี้ตามโครงการที่พักและที่อยู่อาศัย ยังให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัย เพื่อสร้างคุณภาพในการอยู่อาศัย และให้บริการลูกค้าในโครงการรวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า ทำให้มีการติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดมากขึ้น
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้ตลาดกล้องวงจรปิดมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในระยะ 2 ปีที่ผ่านมาโดยในปี 2549 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่าย และให้บริการติดตั้งกล้องวงจรปิด 200 ล้านบาท จากมูลค่าตลาดรวมกล้องวงจรปิดในประเทศประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนในนี้ คาดว่าอัตราการขยายตัวของตลาดรวมที่ประมาณ 20%
"เรามั่นใจว่าตลาดร้านค้าปลีกร้านมินิมาร์ทต่างๆจะมีสัดส่วนการใช้กล้องวงจรปิดเพิ่มากขึ้นเพราะปัจจุบันราคาขายกล้องวงจรปิดในตลาดมีการปรับตัวลดลงอย่างมากจากเดิมที่ราคาขายต่อชุดอยู่ที่ระดับราคา กว่า100,000 บาท แต่ปัจจุบันราคาต่อชุดมีตั้งแต่ 5,000- 100,000 บาทต่อชุดขึ้นไป ซึ่งทำให้ร้านค้าทั่วไปสามารถหาซื้อมาติดตั้งในร้านค้าได้"
สำหรับตลาดกล้องวงจรปิดสามารถแบ่งออกเป็น 3 เซกเมนต์ ประกอบด้วยตลาดระดับบนราคาขายประมาณ 50,000 บาทขึ้นไป ซึงส่วนแบ่งตลาดที่ 30% ตลาดระดับกลาง ระดับราคาขาย 20,000- 50,000 บาท ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 40% และตลาดระดับล่าง ราคาขายที่ 5,000-15,000 บาท มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 30% โดยกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับบนส่วนใหญ่จะเป็นหน่วยงานราชการ และสถาบันการเงิน ซึ่งต้องใช้กล้องวงจรปิดที่มีคุณภาพในการแสดงผลที่คมชัด
ส่วนตลาดระดับกลางกลุ่มลูกค้าจะเป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า ร้านค้ามินิมาร์ท โรงแรม โรงพยาบาล โรงเรียน และอาคารสำนักงานรวมถึงโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งการเลือกซื้อกล้องนั้นขึ้นอยู่กับงบประมาณของแต่ละผู้ประกอบการว่าจะมากหรือน้อยเท่าใด ทั้งนี้ในส่วนของบริษัทเองปัจจุบันเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางลงล่าง เป็นหลัก เนื่องจากเป็นฐานะตลาดที่ใหญ่ที่สุด ส่วนตลาดระดับ บริษัทยอมรับว่าไม่มีคอนเน็คชันกับหน่วยงานราชการทำให้ไม่สามารถเข้าถึงและเสนอขายให้หน่วยงานราชการได้
นายสอทธิชัย กล่าวว่า ในปีนี้บริษัท ยังคงเน้นเจาะตลาดระดับกลางเช่นเดิมโดยตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมเติบโตจากปี 49 ประมาณ 20% หรือมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้ารวม 240 ล้านบาท โดยจะเน้นการขยายตลาดเข้าสู่กลุ่มผู้ประกอบการโครงการบ้านจัดสรร อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม และอาพาร์ตเมนต์ รวมถึงสถาบันการศึกษาและโรงพยาบาล โดยบริษัทจะเน้นเข้าไปติดต่อกับกลุ่มลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่โดยการเพิ่มจำนวนดีลเลอร์ หรือตังแทนจำหน่ายทั้งในส่วนของพื้นที่ กทม.และต่างจังหวัด ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศรวม 200 ราย
ล่าสุดบริษัทได้นำเข้า ระบบซีซีทีวี เวอร์ชั่น 7 จากประเทศไต้หวัน ซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมต่อกันเป็นเน็ตเวิร์ค และสามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเตอร์เน็ตได้โดยตรง ทำให้สามารถติดต่อและติดตามดูภาพจากกล้องวงจรปิดมีการติดตั้งไว้ที่สำนักงานหรือที่บ้าน ได้จากทุกแห่งผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งสินค้าตัวใหม่นี้เราจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าในโครงการที่อยู่อาศัย และอาคารสำนักงาน
"การหันมาให้ความสำคัญกับการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยของประชาชน บริษัท เอกชน และหน่วยงานราชการต่างๆ ทำให้ตลาดกล้อโทรทัศวงจรปิดขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น รวมถึงส่งผลให้เกิดผู้ประกอบการรายใหม่ๆ ในตลาดมากขึ้นด้วย ดังนั้นแนวโน้มในการแข่งขันของตลาด ซีซีทีวี ในอนาคตจึงมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทนั้นในปีนี้ วางงบประมารในการทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อทีวี วิทยุ ลัสื่อสิงพิมพิ์ไว้ 10% ของยอดขายหรือประมาณ 24 ล้านบาท"
|