Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน8 มิถุนายน 2550
แห่เก็งกำไรหุ้นเล็กฝรั่งกลับลำขายสุทธิ             
 


   
search resources

Stock Exchange




นักลงทุนโยกจากหุ้นขนาดใหญ่หันเล่นหุ้นเก็งกำไรจังหวะปรับฐาน หลังตลาดหุ้นหมดข่าวดี เปิดโผหุ้นเล็กสุดคึก "APURE-LIVE-PE-PICNI" ขณะที่ฝรั่งกลับลำขายสุทธิครั้งแรกในรอบ 2 สัปดาห์ โบรกเกอร์ชี้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ช่วงปรับฐาน รอข่าวใหม่เข้ามาหนุน ขณะที่นักลงทุนในประเทศคลายกังวลหลังไม่เกิดเหตุรุนแรงลุยเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก ด้านบิ๊ก "อกริเพียว" เผยนักลงทุนแห่เก็งกำไรหลังผลประกอบการดี มั่นใจปีนี้มีกำไรแน่

ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (7 มิ.ย.) ภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนรายใหญ่ในประเทศที่ชะลอการซื้อขายในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นห่วงว่าอาจจะเกิดความรุนแรงขึ้นเริ่มกลับมามีความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น แต่ในรอบนี้นักลงทุนเริ่มหันมาเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็กที่ยังมีข่าวให้ลุ้นจนทำให้หุ้นเก็งกำไรในอดีตหลายบริษัทไม่ว่าจะเป็น APURE, LIVE, PE, PICNI, D1 เป็นต้นกลับมาติดอันดับการซื้อขายสูงสุดอีกครั้ง

ขณะที่ดัชนีวานนี้ปิดตัวที่ 758.83 จุด ลดลง 0.59 จุด หรือ 0.08% โดยจุดสูงสุดอยู่ที่ 760.65 จุด และต่ำสุดอยู่ที่ 753.83 จุด มูลค่าการซื้อขาย 16,457.19 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 624.74 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 401.66 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,026.39 ล้านบาท

สำหรับราคาหุ้นเก็งกำไรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น เช่น หุ้น APURE ราคาปิดที่ 1.97 บาท เพิ่มขึ้น 0.27 บาท หรือ 15.88% โดยระหว่างวันเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 2.14 บาท หรือ 25.88% มูลค่าการซื้อขาย 484.48 ล้านบาท, หุ้นบมจ.พรีเมียร์เอ็นเตอร์ไพรซ์ หรือ PE ราคาปิดที่ 1.79 บาท เพิ่มขึ้น 0.21 บาท หรือ 13.29% มูลค่าการซื้อขาย 299.43 ล้านบาท

หุ้นบมจ.ดราก้อน วัน หรือ D1 ราคาปิดที่ 1.05 บาท เพิ่มขึ้น 0.11 บาท หรือ 11.70% มูลค่าการซื้อขาย 120.24 ล้านบาท, หุ้นบมจ.เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง หรือ GEN ราคาปิดที่ 0.98 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 11.36% มูลค่าการซื้อขาย 138.87 ล้านบาท, หุ้นบมจ.ไลฟ์ อินคอร์ปอเรชั่น หรือ LIVE ราคาปิดที่ 2.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือ 0.88% มูลค่าการซื้อขาย 299.50 ล้านบาท


อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาแค่ 5 วันทำการ(1 มิ.ย.-7 มิ.ย.) ราคาหุ้น APURE จากราคาปิด 1.26 บาทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 1.97 บาท เพิ่มขึ้น 0.71 บาท หรือ 56.34%, หุ้น LIVE จากราคาปิด 1.78 บาทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาปิดที่ 2.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.52 บาท หรือ 29.21%

โยกจากหุ้นใหญ่เล่นหุ้นเล็ก

นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน กล่าวว่า หุ้นเก็งกำไรส่วนใหญ่ ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ที่ตลาดหุ้นเริ่มปรับฐาน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ไม่มีปัจจัยบวกเข้าสู่ตลาด ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาราคาของหุ้นขนาดใหญ่ เช่น PTT และ SCC ได้ปรับตัวขึ้นตั้งแต่หลังการประกาศคำตัดสินคดียุบพรรค ส่วนหุ้นขนาดกลางและเล็กนั้นราคายังไม่ได้ปรับตัวขึ้นรับปัจจัยดังกล่าวมากนัก ทำให้หลังจากการปรับฐานราคาของหุ้นขนาดใหญ่ จึงเกิดการเก็งกำไรในหุ้นขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น

นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้ช่วยผู้จัดการ สายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติที่หุ้นเก็งจะกลับมาคึกคักอีกครั้งในช่วงที่ตลาดหุ้นเริ่มมีการปรับฐาน เพราะทุกครั้งที่ตลาดหุ้นปรับฐาน หุ้นกลุ่มเก็งกำไรที่มีขนาดเล็กจะถูกนักลงทุนรายย่อยเข้ามาเล่นเก็งกำไรเพื่อรอการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงของดัชนีอีกครั้ง

ทั้งนี้ ยังเป็นเรื่องที่ยากที่จะระบุรอบในการเล่นเห็นเก็งกำไรจะเสร็จสิ้นเหมือนใด แต่ส่วนตัวมองว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นในรอบนี้น่าจะเสร็จสิ้นภายในช่วงปลาย - กลางสัปดาห์หน้าเท่านั้น

โบรกฯแกว่งกรอบแคบๆต่อ

นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บล.ซิกโก้ กล่าวว่า ขณะนี้กลุ่มนักลงทุนต่างชาติน่าจะโอนย้ายหุ้นจากกลุ่มโรงกลั่นเข้าสู่กลุ่มอื่นในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่อื่น เช่น BANPU , PTT และ PTTCH มากขึ้น และคงมีบางส่วนที่เข้ามาในกลุ่มธนาคาร เนื่องมาจากราคาในกลุ่มโรงกลั่นส่วนใหญ่เต็มมูลค่าแล้ว นอกจากนี้ค่าการกลั่นยังมีแนวโน้มที่จะลดลง ส่วนรายย่อยนั้นคงจะเน้นการเข้ามาลงทุนในหุ้นเก็งกำไรมากกว่า

ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดหุ้นในวันนี้น่าจะเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับวันก่อนหน้าเนื่องจากตลาดหุ้นยังไร้ปัจจัยใหม่ๆเข้ามาสนับสนุน ประกอบกับนักลงทุนต่างชาตเริ่มชะลอการนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศด้วย โดยให้แนวรับไว้ที่ 754 จุด และแนวรับถัดไปอยู่ที่ 750 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 762 จุด

นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีเริ่มแกว่งตัวในกรอบแคบๆหลังนักลงทุนต่างชาติเริ่มส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าชะลอตัวในการลงทุนหลังจากซื้อสุทธิอย่างต่อเนื่องมานาน ขณะที่ปรับลดจากต่างประเทศยังเป็นแรงกดดันให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงหลังประเทศตุรกีส่งทหารเข้าไปในประเทศอิรักซึ่งเป็ นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก

ส่วนแนวโน้มในวันนี้คาดว่าดัชนีน่าจะยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยยังต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองรวมถึงสถานการณ์รุนแรงทางภาคใต้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดี ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ กลุ่มโรงกลั่น กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์หากกระบวนการการเลือกตั้งเสร็จสิ้น โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 750 จุด แนวต้านให้ไว้ที่ 766 จุด

บิ๊กAPUREเชื่อธุรกิจรุ่ง

นายภูมิพัฒน์ ธนาวรพิทักษ์ ประธานกรรมการ บริษัท อกริเพียว โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APURE กล่าวถึงกรณีราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างรุนแรงว่า น่าจะเป็นเพราะนักลงทุนมีมุมมองที่ดีต่อธุรกิจของบริษัทหลังผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส1/50 ซึ่งแม้ว่าจะขาดทุนแต่ก็ลดลงจากผลขาดทุนในปีก่อนที่สูงถึง 17 ล้านบาทค่อนข้างมาก

นอกจากนี้ แผนทางธุรกิจในเรื่องการลดทุนและเพิ่มทุนของบริษัทซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินงานน่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับบริษัทถึงมีแรงซื้อเข้ามาอย่างคึกคัก โดยบริษัทคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2 เดือนน่าจะดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้สำเร็จ ซึ่งคาดว่าเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนที่น่าจะอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาทจะเพียงพอต่อการขยายกำลังการผลิต รวมถึงการชำระหนี้สถาบันการเงินและการล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่

ในส่วนของเป้ารายได้บริษัทในปีนี้คาดว่ารายได้จะเติบโตประมาณ 20% จากรายได้รวมในปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 1.64 พันล้านบาทเนื่องจากยอดขายของบริษัทมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและคาดว่าผลการดำเนินงานในปีนี้น่าจะมีกำไรแม้ว่าไตรมาสแรกบริษัทจะขาดทุนก็ตาม

"เราเชื่อว่าทั้งปีเราน่าจะมีกำไรแม้ว่าช่วง 3 เดือนจะขาดทุนก็ตาม ส่วนเรื่องการแก้ปัญหาขาดทุนสะสมให้แล้วเสร็จแล้วจะมีการจ่ายเงินปันผลหรือไม่ เรื่องดังกล่าวจะต้องรอนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาก่อน"นายภูมิพัฒน์กล่าว

นายมนชัย พงศ์สถาบดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อกริเพียว โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า จากการที่ทางตลาดหลักทรัพย์ได้สอบถามเกี่ยวกับภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นนัยสำคัญนั้น บริษัทขอชี้แจงว่าบริษัทไม่มีการพัฒนาใดๆ ที่สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทแต่ประการใด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us