|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นสุดคึก วอลุ่มทะลุ 2 หมื่นล้าน แม้ดัชนีสุดสวิงตลอดทั้งวัน "หมอบุญ" เตรียมทุ่มซื้อหุ้นเพิ่มอีก 100 ล้านบาท มั่นใจเศรษฐกิจดีถึงเลือกตั้ง พร้อมเล็งใช้เงินทุน 500 ล้านบาท เทกโอเวอร์ 3 กิจการต่อยอดธุรกิจ มั่นใจจบดีลภายในปีนี้ ก่อนจะเดินหน้าดัน "ราชธานี-ปิยะเวท" เข้าจดทะเบียนใน 2 ปีข้างหน้า ด้าน "เอกยุทธ" เปลี่ยนพฤติกรรมเทรดหุ้นเล่นสั้นลง เหตุห่วงการเมืองไม่จบปัญหา ส่วน "มาริษ" คาดดัชนีสิ้นปี 800 จุด ลุ้นเลือกตั้งทันปีนี้ ขณะที่ ก.ล.ต.หนุนตั้งกองทุน FIF รูปแบบใหม่เน้นลงทุนอสังหาฯ-อนุพันธ์-เฮดจ์ฟันด์
ภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (6 มิ.ย.) ดัชนีแกว่งตัวขึ้นลงสลับกันในแดนบวกและลบก่อนจะปรับตัวลดลงมาปิดที่ 759.42 จุด ลดลง 1.17 จุด หรือ 0.15% โดยจุดสูงสุดอยู่ที่ 766.89 จุด และต่ำสุดอยู่ที่ 756.77 จุด มูลค่าการซื้อขาย 22,603.48 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 73.09 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 832.46 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 759.37 ล้านบาท
นายแพทย์บุญ วนาสิน นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้นทำให้ตลาดหุ้นเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยส่วนตัวพร้อมจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มโดยจะเข้ามาลงทุนเพิ่มอีกประมาณ 50-100 ล้านบาท จากปัจจุบันพอร์ตที่ลงทุนในประเทศเหลือต่ำกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มที่น่าสนใจยังเป็นกลุ่มธนาคาร พลังงาน และอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศกว่า 17 ประเทศยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง
"ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งที่น่าจะเกิดขึ้นได้ในช่วงปลายปีน่าจะอยู่ทิศทางขาขึ้น แม้ว่าในช่วงสั้นๆ อาจจะมีการปรับตัวลดลงบ้าง ขณะที่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาช่วงที่นักลงทุนรอความชัดเจนกรณีคำตัดสินยุบพรรคการเมืองถึงปัจจุบันพอร์ตลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ประมาณ 5-6%"
สำหรับมุมมองทางด้านเศรษฐกิจ ยังเชื่อว่าการส่งออกยังเป็นปัจจัยหลักในการเติบโตของเศรษฐกิจแม้ว่ากำลังซื้อ และความเชื่อมั่นใจการลงทุนในประเทศจะลดลง ประกอบกับปัญหาในเรื่องการเบิกจ่ายงบของรัฐบาลหากสามารถเร่งดำเนินการได้ในเวลาอันสั้นจะส่งผลดีทั้งต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
นายเอกยุทธ อันชัญบุตร นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงนี้รูปแบบของการลงทุนจะเปลี่ยนไปจากเดิม คือ ลงทุนระยะสั้นมากขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงเพราะนักลงทุนต่างชาติอาจจะขายทำกำไรออกมาหลังจากก่อนหน้านี้มีการเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก
ทั้งนี้ สถานการณ์ในประเทศที่ยังมีข่าวลืออย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้ความเสี่ยงในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนในประเทศที่ได้รับข้อมูลมากกว่านักลงทุนต่างชาติต้องระมัดระวังในการพิจารณาเลือกลงทุน
หมอบุญเตรียมเทกฯ3บริษัท
นายแพทย์บุญ กล่าวถึงความคืบหน้าในการนำบริษัท ราชธานี บ้านและที่ดิน จำกัด ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท ว่า ปัจจุบันส่วนตัวและพันธมิตรถือหุ้นรวมมากกว่า 80% โดยคาดว่ารายได้ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 4,000 -5,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นในอนาคตโดยได้รับแรงหนุนจากโครงการที่สมุย
ส่วนโรงพยาบาทปิยะเวท ทุนจดทะเบียน 800 ล้านบาท แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากยอดการรักษาพยาบาลของประชาชนในประเทศโดยคาดว่ารายได้ในปีนี้จะลดลดจากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตที่ 25% เหลือ 15% ขณะที่กำไรสุทธิคาดว่าจะอยู่ที่ 5-10% โดยในปีที่ผ่านมาโรงพยาบาลมีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ขณะที่กำไรอยู่ที่ 70 ล้านบาท โดยทั้ง 2 บริษัทคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนได้ในอีก 1-2 ปีนี้
นอกจากนี้ ส่วนตัวอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อกิจการบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 2-3 บริษัทโดยคาดว่าจะต้องใช้เงินประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ สำหรับบริษัทดังกล่าวจะเป็นบริษัทที่สามารถต่อยอดธุรกิจของบริษัทในปัจจุบัน
ก.ล.ต.หนุนตั้งกองFIFรูปแบบใหม่
วานนี้ (6 มิ.ย.) มีการสัมมนาหัวข้อ "เงินไทยไปลงทุนนอก ทางเลือกใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง" ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนให้มีการกระจายเงินลงทุนไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยนายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต.มีแนวคิดที่จะผ่อนกฎเกณฑ์การจัดตั้งกองทุนเพื่อไปลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ลงเพื่อสนับสนุนให้มีกองทุนประเภทเหล่านี้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดกว้างสำหรับทุนเอฟไอเอฟในรูปแบบใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนนั้น ซึ่งในการพิจารณาอนุมัติคงต้องดูความพร้อมของผู้ประกอบการรวมถึงผู้ลงทุนประกอบด้วย
นางอาภรณ์ ชีวะเกรียงไกร ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและวางแผน กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข. อยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนในกองทุนประเภทอื่นๆ ทั้งการลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมอนุพันธ์ กองทุนบริหารความเสี่ยง(เฮดจ์ฟันด์) และกองทุนที่ลงทุนในบริการพื้นฐานของประเทศ(อินฟาสตรัคเจอร์)
นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า พัฒนาการของกองทุนเอฟไอเอฟถือว่าดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีหลังมานี้ ผู้ลงทุนให้ความสนใจกับการลงทุนในกองทุนประเภทนี้กันมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากตลาดหุ้นไทยไม่สามารถให้ผลตอบแทนได้ในระดับที่ดีนัก ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศหลายแห่งให้ผลตอบแทนที่จูงใจ
อย่างไรก็ตาม สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองว่าหลังจากมีความชัดเจนเกี่ยวกับการยุบพรรค หลายบริษัทปรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีนี้ไปบ้างแล้ว ซึ่งบางรายมองว่าดัชนีมีโอกาสขยับขึ้นไปถึง 800 จุด หรือบางรายก็มีการปรับดัชนีไปถึง 1,000 จุดไปแล้ว โดยในส่วนของไอเอ็นจีเอง มองว่า สิ้นปีนี้ดัชนีน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 800 จุด แต่สิ่งที่จะต้องจับตาดูหลังจากนี้ คือ การเลือกตั้ง ว่าจะสามารถทำได้เร็วขึ้น หรือเป็นไปตามที่รัฐบาลประกาศไว้ในช่วงปลายปีหรือไม่
ด้านนางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงทิศทางค่าเงินบาทว่า ในช่วงที่ผ่านมายังเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับค่าเงินในภูมิภาค ซึ่งในภาพรวมแล้วเชื่อว่าในปีนี้ค่าเงินบาทจะผันผวนน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่วนเงินลงทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ ยังไม่อยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง ซึ่งการที่เรามีเงินไปลงทุนในต่างประเทศด้วย ช่วยให้เกิดความสมดุลและลดแรงกดดันที่จะส่งผลให้ค่าเงินบาทผันผวนได้
|
|
 |
|
|