Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน6 มิถุนายน 2550
ครม.ฤาษีเข้าเกียร์อีโคคาร์ ยอมสูญเงินภาษี 7 หมื่นบาท/คัน             
 


   
www resources

โฮมเพจ กระทรวงการคลัง

   
search resources

กระทรวงการคลัง
Auditor and Taxation
Automotive




รัฐบาลเดินหน้าโครงการอีโคคาร์ ครม.อนุมัติอัตราภาษีสรรพสามิตที่ 17% เงื่อนไขเครื่องเบนซินไม่เกิน 1300 ซีซี ดีเซลไม่เกิน 1400 ซีซี อัตราสิ้นเปลือง 20 กม./ลิตร มาตรฐานยูโร 4 มีผล 1 ต.ค. ปี 52 “พี่หลอง” ลั่นคุ้มค่า สูญรายได้ 7 หมื่นบาท ต่อคัน แลกกับการช่วยชาติประหยัดเชื้อเพลิง-สิ่งแวดล้อม-กระตุ้นกำลังซื้อ เผยคลังออกประกาศลดภาษีควบคู่สำหรับรถใช้แก๊สโซฮอล์ที่เติมเอธานอล 20% เริ่ม ม.ค.ปีหน้า “โฆสิต” โวเอกชน 3 รายเข้าร่วม บิ๊กโตโยต้าเด้งรับ ฮอนด้าโล่ง ได้ข้อสรุป

นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วานนี้ (5 มิ.ย.) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งขนาดเล็กประหยัดพลังงานหรืออีโคคาร์อยู่ที่ระดับ 17% เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทยตามนโยบายที่รัฐบาลต้องการสร้างโปรดักส์แชมเปี้ยนเพื่อการส่งออกจึงจัดเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำรวมทั้งสนับสนุนให้มีการประหยัดพลังงานด้วย

สำหรับเงื่อนไขมาตรฐานของรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล ต้องมีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 1,300 ลูกบาศก์เซนติเมตร (ซีซี) สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,400 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยไม่จำกัดกำลังเครื่องยนต์ ส่วนอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต้องไม่เกิน 5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร หรือ 20 กิโลเมตรต่อลิตร มาตรฐานมลพิษอยู่ในระดับ EURO 4 ตามที่สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) กระทรวงอุตสาหกรรม ประกาศกำหนด และปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อกิโลเมตร และกำลังการผลิตปีละ 1 แสนคันในปีที่ 5

ด้านมาตรฐานความปลอดภัยต้องได้มาตรฐานความปลอดภัยตามเกณฑ์ของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจแห่งองค์การสหประชาชาติสำหรับภาคพื้นยุโรป (UNECE) ข้อ 94 และข้อ 95 หรือสูงกว่า ซึ่งนอกจากจะมีการกำหนดคุณภาพมาตรฐานสำหรับชิ้นส่วนต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตหรือประกอบขึ้นเป็นรถยนต์อย่างเข้มงวดแล้ว ยังได้กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยสำหรับการถูกชนในลักษณะต่างๆ เช่น การชนด้านหน้า ด้านหลัง ด้านข้าง ตลอดจนการพลิกคว่ำของตัวรถด้วย

“แม้ว่ารัฐบาลจะสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต 70,000 บาทต่อคัน แต่สิ่งที่รัฐได้ประโยชน์คือการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมซึ่งมีมูลค่าสูงกว่ารายได้ที่ต้องเสียไป ซึ่งในแง่ของผู้บริโภคนั้นเมื่อราคารถยนต์ลดลงมากอาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการซื้อรถยนต์มากขึ้นและรัฐบาลก็จะมีรายได้ด้านอื่นชดเชยภาษีที่เสียไป” นายฉลองภพกล่าว

รมว.คลัง กล่าวต่อว่า ในการแบ่งแยกตลาดรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากลออกจากรถยนต์นั่งความจุกระบอกสูบประมาณ 1,500 ซีซี (B Car) ได้มีการแบ่งแยกออกจากกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วเพื่อให้มีผลกระทบกับแผนการผลิตรถยนต์ขนาด B ที่มีอยู่แล้วให้น้อยที่สุด ทั้งนี้คาดว่าราคารถที่จะนำออกจำหน่ายคงอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 500,000 บาทต่อคัน

ลดภาษีรถใช้แก๊สโซฮอลล์ควบคู่

นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังเตรียมประกาศลดภาษีสรรพสามิตถยนต์ที่สามารถใช้แก๊สโซฮอล์ที่เติมเอทานอล 20% หรือ E20 จากเดิมที่เคยประกาศว่าหากมีการใช้ E20 กันอย่างแพร่หลายแล้วจะเก็บภาษีในอัตรา 20% สำหรับรถที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี กำลังเครื่องยนต์ 220 แรงม้า ซึ่งคาดว่าอาจต้องใช้ระยะเวลาอีกนานจึงได้หารือร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพลังงานเพื่อปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีอีกครั้ง

โดยจากการหารือได้ข้อสรุปว่าการจัดเก็บภาษีรถยนต์ที่ใช้ E20 มีการจัดเก็บตามความจุของกระบอกสูบต่ำกว่าอัตราการจัดเก็บภาษีรถยนต์ทั่วไป 5% ดังนี้ รถยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบ 2,000 ซีซี กำลังเครื่องยนต์ 220 แรงม้า เดิมเก็บภาษี 30% เปลี่ยนเป็นจัดเก็บที่ 25% รถยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบ 2,000-2,500 ซีซี กำลังเครื่องยนต์ 220 แรงม้า เดิมเก็บภาษี 35% เปลี่ยนเป็นจัดเก็บที่ 30%

รถยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบ 2,500-3,000 ซีซี กำลังเครื่องยนต์ 220 แรงม้า เดิมเก็บภาษี 40% เปลี่ยนเป็นจัดเก็บที่ 35% ส่วนรถยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบมากกว่า 3,000 ซีซี กำลังเครื่องยนต์ 220 แรงม้า จัดเก็บภาษีที่ระดับ 50% เท่าเดิม โดยอัตราการจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2551

“กระทรวงการคลังได้ประกาศอัตราจัดเก็บภาษีสำหรับรถยนต์ที่สามารถใช้ E20 ได้ เนื่องจากต้องการให้เวลาผู้ประกอบการแต่ละรายปรับตัวแม้ว่าในปัจจุบันจะมีผู้ประกอบการบางรายได้นำรถยนต์ประเภทนี้ออกจำหน่ายแล้วก็ตาม ซึ่งรถรุ่นใหม่ๆ ที่ออกจำหน่ายส่วนใหญ่สามารถใช้ E10 ได้ ผู้ประกอบการอาจปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์เพียงเล็กน้อยเพื่อให้รถยนต์สามารถใช้ E20 ได้และเร่งให้มีการออกวางจำหน่ายได้เร็วขึ้น” นายฉลองภพ กล่าว

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า โครงการอีโคคาร์จะมีความชัดเจนทุกด้านในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ เนื่องจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) จะหารือในสัปดาห์หน้าเพื่อกำหนดรายละเอียดของมาตรการจูงใจเอกชน ทั้งนี้ อัตราภาษี 17% ถือว่าต่ำ โดยต่ำกว่าภาษีสรรพสามิตรถยนต์นั่งขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซี ที่ปัจจุบันจัดเก็บภาษีในอัตรา 30%ล่าสุดมีค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่น 3 รายที่จัดทำรายละเอียดโครงการชัดเจนแล้ว

โตโยต้า-ฮอนด้ายอมรับสนใจ

นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมสนับสนุนเต็มที่ ภายในเวลา 2 ปีจะมีรถโตโยต้าทำตลาดแน่นอน ส่วนจะเป็นรถรุ่นไหนคงต้องศึกษาอีกสักระยะ

“ภาษี 17% ถือเป็นการจูงใจให้บริษัทรถยนต์หลายค่ายสนใจผลิต แต่ในส่วนของโตโยต้าคงต้องมาดูรายละเอียดให้ชัดเจนอีกครั้งว่ารถทำตลาดจะเป็นโมเดลใหม่ ขึ้นไลน์ผลิตใหม่ หรือใช้รถรุ่นเดิมอย่างวีออส กับยาริส วางเครื่องยนต์ใหม่ ขณะเดียวกัน ต้องคำนึงถึงมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 4 และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน ซึ่งทั้งหมดอยู่ระหว่างการศึกษา แต่ขั้นต้นสามารถยืนยันได้ว่าจะเป็นรถที่ประกอบในประเทศ และใช้ชิ้นส่วนในประเทศ 100% แน่นอน”

นายศุภรัตน์ มองว่า การกำหนดปริมาณการผลิตให้ได้ 1 แสนคัน ภายใน 5 ปี อาจเป็นเรื่องยาก เพราะปัจจุบันตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กในประเทศ มีปริมาณการขายรวมอยู่ปีละประมาณ 6-7 หมื่นคันเท่านั้น ขณะที่การผลิตเพื่อส่งออกอาจไม่มีตลาดรองรับเพียงพอ ซึ่งทั้งสองปัจจัยถือเป็นเรื่องสำคัญที่โตโยต้าต้องพิจารณาให้รอบคอบ

นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร กรรมการบริหาร บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ยินดีที่ภาครัฐสรุปเรื่องนี้ออกมาเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน และที่ผ่านมาฮอนด้าเห็นด้วยกับแนวคิดของภาครัฐที่พยายามผลักดันโครงการอีโคคาร์ให้เกิดขึ้น เพราะเป็นรถขนาดเล็กช่วยประหยัดน้ำมัน และยังคาดหวังให้เป็นโปรดักส์แชมป์เปี้ยนคู่กับปิกอัพอีกต่างหาก

“อัตราภาษีสรรพสามิตที่เสนอให้รถอีโคคาร์อยู่ที่ 17% นั้น มันไม่ได้ 100% ตามที่เราเสนอไป แต่จะนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง เรายอมรับว่าโจทย์ของภาครัฐครั้งนี้ชัดเจน แต่ก็ไม่ง่ายนัก เพราะมีเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 20 กิโลเมตร/ลิตร, มาตรฐานมลพิษระดับ 4, เครื่องยนต์เบนซินมีขนาดต่ำกว่า 1300 ซีซี หรือเครื่องยนต์ดีเซลต่ำกว่า 1400 ซีซี และมาตรฐานความปลอดภัยเช่นเดียวกับยุโรป ดังนั้น เราต้องกลับมาดูทั้งตัวโปรดักต์ที่จะมาประกอบและการดำเนินงานทางธุรกิจว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหน”   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us